เมนูนำทาง
สมเด็จพระวันรัตน์_(ทับ_พุทฺธสิริ) ประวัติสมเด็จพระวันรัตน์ มีนามเดิมว่า ทับ เกิดเมื่อวันพฤหัสบดีที่ 6 พฤศจิกายน พ.ศ. 2349 แรม 10 ค่ำ เดือน 11[1] ในรัชกาลที่ 1 ณ หมู่บ้านสกัดน้ำมันปากคลองผดุงกรุงเกษม ฝั่งตะวันออก ใกล้วัดเทวราชกุญชรวรวิหาร กรุงเทพมหานคร โยมบิดาชื่ออ่อน ผู้คนนิยมเรียกว่าท่านอาจารย์อ่อน โยมมารดาชื่อคง ท่านเป็นบุตรคนโตในตระกูลนี้ กล่าวกันว่าครอบครัวของท่านเป็นชาวกรุงเก่า แต่เมื่อกรุงศรีอยุธยาเสียแก่พม่าเมื่อ พ.ศ. 2310 ก็ได้อพยพเข้ามาอยู่ในกรุงเทพฯ[3]
ในรัชกาลที่ 2 เมื่อท่านมีอายุ 9 ขวบ ได้เข้าเรียนอักษรสมัยอยู่ที่วัดภคินีนาถวรวิหาร ต่อมาได้เข้าเรียนภาษาบาลีตามสูตรมูลกัจจายน์ที่วัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฎิ์ราชวรมหาวิหารตั้งแต่สมัยที่ยังไม่ได้บวช ครั้งนั้นพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวยังทรงดำรงพระยศเป็นสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ กรมหมื่นเจษฎาบดินทร์ ทรงพอพระราชหฤทัยในตัวท่านจึงทรงให้อุปการะในการเล่าเรียนศึกษาพระปริยัติธรรมของท่าน ทรงจัดสอบความรู้ผู้ที่เรียนสูตรเรียนมูลที่วังเนือง ๆ ท่านได้ไปสอบถวาย โปรดประทานรางวัล และทรงเมตตาในตัวท่านแต่นั้นมา[4]
ท่านได้บรรพชาเมื่ออายุเท่าไรยังไม่ปรากฏหลักฐาน ทราบแต่ว่าท่านได้บรรพชาเป็นสามเณรที่วัดสังเวชวิศยารามวรวิหาร บางลำภู ครั้นได้บรรพชาเป็นสามเณรแล้ว พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวสมัยที่ยังดำรงพระยศเป็นกรมหมื่นเจษฎาบดินทร์ ได้โปรดให้ท่านไปอยู่วัดราชโอรสารามราชวรวิหารที่ทรงสร้างขึ้น ให้อยู่เรียนในสำนักของพระโพธิวงศ์ (ขาว) ขณะดำรงสมณศักดิ์ที่พระญาณไตรโลก ต่อมาเรียนพระปริยัติธรรมในสำนักพระพุทธโฆษาจารย์ (คง) วัดอรุณราชวรารามราชวรมหาวิหาร แต่ครั้งยังดำรงสมณศักดิ์ที่พระวินัยมุนี ขณะนั้นพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวขณะดำรงพระอิสสริยยศเป็นเจ้าฟ้ามงกุฏประทับที่พระราชวังเดิม ได้เสด็จไปวัดอรุณฯ อยู่เสมอ จึงรู้จักคุ้นเคยกับท่านมาแต่ครั้งนั้น[4]
ครั้นเมื่ออายุครบอุปสมบทแล้ว คุณโยมของท่านจึงให้ท่านมาอุปสมบทที่วัดเทวราชกุญชรอันเป็นวัดที่ตั้งอยู่ใกล้บ้านเดิม ท่านจึงได้อุปสมบทเมื่อปีจอ พ.ศ. 2369 ที่วัดเทวราชกุญชร โดยมีพระธรรมวิโรจน์ (เรือง) วัดราชาธิวาสราชวรวิหาร เป็นพระอุปัชฌาย์ สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (ขุน) วัดโมลีโลกยารามราชวรวิหาร เป็นพระกรรมวาจาจารย์ พระวินัยมุนี (คง) วัดอรุณราชวราราม เป็นพระอนุสาวนาจารย์[3]
เมื่อบวชได้ 2 พรรษา ได้อุปสมบทซ้ำตามแบบมอญตามคำแนะนำของเจ้าฟ้ามงกุฎ (พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวขณะผนวช) โดยทรงนิมนต์พระอุดมญาณ วัดชนะสงคราม มาเป็นพระอุปัชฌาย์ และทรงเป็นพระกรรมวาจาจารย์ด้วยพระองค์เองได้ฉายาทางธรรมว่า พุทฺธสิริ ภายหลังมีรับสั่งกับพระทับว่าสำเนียงและอักขระของพระองค์อาจไม่ชัดเจนอย่างพระมอญแท้ จึงทรงอนุญาตให้พระทับบวชอีกเป็นครั้งที่ 3 โดยพระอุดมญาณเป็นพระอุปัชฌาย์ และพระมหาเกิด (หรือเกื้อ) เป็นพระกรรมวาจาจารย์ บวชแล้วตามเสด็จมาอยู่วัดราชาธิวาสราชวรวิหาร[5]
เมื่อเจ้าฟ้ามงกุฎทราบว่ามีพระมอญซึ่งอุปสมบทในกัลยาณีสีมา (เชื่อว่าพระอรหันต์ผูกไว้) ในราชอาณาจักร จึงโปรดให้นิมนต์มา 18 รูป ทำการอุปสมบทพระองค์เองและศิษย์หลวงรวมทั้งพระทับ ณ อุทกุกเขปสีมา (โบสถ์แพ) หน้าวัดราชาธิวาส โดยมีพระสุเมธมุนี (ซาย พุทฺธวํโส) เป็นพระอุปัชฌาย์ นับเป็นอุปสมบทครั้งที่ 4 แต่ภายหลังท่านสงสัยในพระกรรมวาจารย์ จึงนิมนต์พระมอญมาบวชท่านซ้ำอีกเป็นครั้งที่ 5 ณ อุทกุกเขปสีมา หน้าวัดปรัก เมืองปทุมธานี
ต่อมาเจ้าฟ้ามงกุฎทรงพระดำริว่าการอุปสมบทที่โบสถ์แพหน้าวัดราชาธิวาสนั้นสวดเฉพาะญัตติจตุตถกรรม ไม่ได้สวดบุพพกิจ ทรงสงสัยว่าการบวชจะไม่ถูกต้อง จึงรับสั่งให้อุปสมบทใหม่ ท่านจึงไปที่วัดดอนกระฎี นิมนต์พระมอญมาบวชให้ท่านอีก ณ โบสถ์แพหน้าวัดนั้น ถือเป็นอุปสมบทครั้งที่ 6
เมื่อท่านไปนมัสการพระปฐมเจดีย์ ได้อธิษฐานปฏิญาณตนเป็นอุปสัมบันภิกษุเฉพาะต่อพระพุทธเจ้า ท่านถือว่าครั้งนี้เป็นอุปสมบทกรรมครั้งที่ 7[6]
ขณะอยู่วัดราชาธิวาส ท่านได้ศึกษาในสำนักของพระธรรมวิโรจน์ (เรือง) วัดราชาธิวาส และศึกษาเล่าเรียนในสำนักพระอาจารย์อาจ พนรัตน ที่วัดไทรทอง (วัดเบญจมบพิตรดุสิตวนารามราชวรวิหาร) บ้าง ที่พระมหาเกื้อ วัดชนะสงครามราชวรมหาวิหาร บ้างเนือง ๆ
เมื่อเจ้าฟ้ามงกุฏผนวชอยู่ที่วัดมหาธาตุ ได้เสด็จไปวัดราชาธิวาสบ่อยครั้ง และพบท่านบวชอยู่ที่นั่น ด้วยความที่คุ้นเคยกันมาก่อนจึงตรัสชวนให้มาอยู่วัดมหาธาตุ ท่านก็ได้ถวายตัวเป็นศิษย์ เล่าเรียนปริยัติธรรมในสำนักเจ้าฟ้าพระมงกุฎบ้าง ในสำนักพระวิเชียรปรีชา (ภู่) บ้าง นับแต่ที่ท่านบวชได้ 2 พรรษา
เมื่อบวชแปลงแล้วได้เล่าเรียนในสำนักเจ้าฟ้าพระมงกุฎต่อมา และได้ตามเสด็จออกธุดงค์อยู่เสมอ จึงไม่ได้เข้าสอบเปรียญ
ถึงปีวอก พ.ศ. 2379 เมื่อท่านมีพรรษา 11 อายุ 31 ปี ยังเป็นพระอันดับอยู่ พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงอาราธนาเจ้าฟ้าพระมงกุฎไปครองวัดบวรนิเวศราชวรวิหาร และในสมัยนั้นพระสงฆ์วัดราชาธิวาสมีทั้งพระมหานิกายและพระธรรมยุตอยู่ด้วยกัน แต่อธิบดีสงฆ์เป็นมหานิกายจึงได้โปรดให้ท่านอยู่ครองฝ่ายธรรมยุตที่วัดราชาธิวาส ครั้นพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จมาประทับที่วัดบวรนิเวศวิหารเรียบร้อยแล้ว พระทับเพิ่งกลับจากธุดงค์ จึงโปรดให้ท่านเข้าแปลพระปริยัติธรรมในสนามหลวง ครั้งแรกท่านแปลได้ถึงเปรียญธรรม 7 ประโยค แล้วท่านไม่แปลต่อ ภายหลังจึงเข้าแปลอีกได้ 2 ประโยค รวมเป็นเปรียญธรรม 9 ประโยค[7]
หลังจากที่พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงลาผนวชและขึ้นครองราชย์ในปี 2394 แล้ว พระองค์ได้ทรงสร้างวัดโสมนัสวิหารขึ้น ด้วยพระราชทรัพย์ของสมเด็จพระนางเจ้าโสมนัสวัฒนาวดี ได้พระราชทานนามว่า "วัดโสมนัสวิหาร" โดยทรงวางศิลาฤกษ์พระอุโบสถ เมื่อวันที่ 15 มกราคม พ.ศ. 2396 ทรงสร้างเป็นพระอารามหลวงชั้นโท ชนิดราชวรวิหาร ในเนื้อที่ 31 ไร่เศษ[3] ครั้งสิ่งก่อสร้างสำเร็จลงบ้าง พอเป็นที่อาศัยอยู่จำพรรษาของภิกษุสามเณรได้บ้างแล้ว ใน พ.ศ. 2399 พระองค์ก็ได้ทรงอาราธนาพระอริยมุนี (ทับ พุทฺธสิริ) (สมณศักดิ์ในขณะนั้น) จากวัดราชาธิวาส พร้อมด้วยคณะสงฆ์ประมาณ 40 รูป โดยขบวนแห่ทางเรือ ให้มาอยู่ครองวัดโสมนัสวิหาร ท่านจึงได้เป็นเจ้าอาวาสรูปแรกของวัดนี้ ท่านปกครองวัดโสมนัสวิหารมาจนกระทั่งได้ถึงแก่มรณภาพ
เมนูนำทาง
สมเด็จพระวันรัตน์_(ทับ_พุทฺธสิริ) ประวัติใกล้เคียง
สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี สมเด็จพระนเรศวรมหาราช สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ สมเด็จเจ้าฟ้าฯ กรมพระศรีสวางควัฒน วรขัตติยราชนารี สมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง สมเด็จพระศรีสวรินทิราบรมราชเทวี พระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า สมเด็จพระมหิตลาธิเบศร อดุลยเดชวิกรม พระบรมราชชนก สมเด็จเจ้าฟ้าฯ กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดาแหล่งที่มา
WikiPedia: สมเด็จพระวันรัตน์_(ทับ_พุทฺธสิริ) http://www.watsomanas.com/thai/abbot/abbot01.php http://www.ratchakitcha.soc.go.th/DATA/PDF/2434/03... http://www.ratchakitcha.soc.go.th/DATA/PDF/2434/03... http://www.ratchakitcha.soc.go.th/DATA/PDF/2434/04...