พระประวัติ ของ สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ_เจ้าฟ้าฉิมใหญ่

พระชนม์ชีพตอนต้น

สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าฉิมใหญ่ ในจดหมายเหตุออกพระนามว่า "หวาน"[1] เป็นพระราชธิดาลำดับที่สามในพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ที่ประสูติแต่สมเด็จพระอมรินทราบรมราชินี เมื่อยังไม่สิ้นกรุงศรีอยุธยาและไม่ปรากฏหลักฐานที่แน่ชัดว่าประสูติเมื่อใด

มีการสันนิษฐานว่าน่าจะประสูติเมื่อ พ.ศ. 2304[2] บ้างก็ว่าประสูติช่วงปี พ.ศ. 2306-2307 และไม่เกินปี พ.ศ. 2308 เพราะพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย ประสูติในเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2310[3]

เข้ารับราชการฝ่ายใน

เมื่อสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีปราบดาภิเษกเป็นพระมหากษัตริย์แห่งกรุงธนบุรี พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชขณะนั้นทรงดำรงพระยศเป็นเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึก ได้ถวายตัวคุณฉิมใหญ่เป็นบาทบริจาริกาในสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี และให้ประสูติการพระราชโอรสพระนามว่า "เจ้าฟ้าเหม็น" ต่อมาทรงพระนามว่า "สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสุพันธุวงศ์" เมื่อวันที่ 17 กันยายน พ.ศ. 2322 ดังปรากฏใน จดหมายเหตุความทรงจำกรมหลวงนรินทรเทวี ซึ่งได้บันทึกเรื่องราวดังกล่าวไว้ ความว่า[4]

เจ้าฟ้ากษัตริย์ศึกเข้าเมืองได้ ณ วันจันทร์ ขึ้น ๓ ค่ำ เดือน ๑๐ เจ้าเมืองหนี ได้พระแก้วพระบาง พระไอยกาเข้าเมืองได้ ๓ วัน เจ้าลูกทรงครรภ์ประสูตร์เจ้า ณ วันศุกร์ ขึ้น ๗ ค่ำ เดือน ๑๐ ประสูตร์เปนพระราชกุมาร ประโคมแตรสังข์ลั่นฆ้องไชย แมงมุมทั้งไข่จิ้งจกตกพร้อมกัน แมงมุมอนิจกรรม จิ้งจกไปได้ ๑๒ วัน เจ้าแม่สิ้นพระชนม์ ส่วนเจ้าลูกให้พระพี่นางเธอเอาไปเลี้ยง ให้นามเจ้าสุพันทวงษ์

ซึ่งนิมิตดีคือพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ได้ทำศึกตีเวียงจันทน์แตกได้พระแก้วมรกตและพระบางมาสู่พระนคร ส่วนลางร้ายคือแมงมุมและจิ้งจกตกลงมาพร้อมกัน หลังจากนั้นเจ้าจอมมารดาฉิมใหญ่ก็สิ้นพระชนม์ แต่ขณะเดียวกันการ "ประโคมแตรสังข์ลั่นฆ้องไชย" เป็นสิ่งที่แสดงให้เห็นว่าพระราชโอรสที่ประสูติเป็นเจ้าฟ้าทั้ง ๆ ที่ผู้ให้กำเนิดเป็นเพียงเจ้าจอมมารดาเท่านั้น[4] ซึ่งกรณีในกรณีดังกล่าวจัดว่าเป็นเจ้าฟ้าตั้ง[5]

หลังการสิ้นพระชนม์

เจ้าจอมมารดาฉิมใหญ่สิ้นพระชนม์ลงในปี พ.ศ. 2322 การนี้ฝ่ายกรุงธนบุรีจึงมีใบบอกเพื่อแจ้งข่าวร้ายไปยังพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชซึ่งขณะนั้นมิได้อยู่ในพระนคร และยังติดศึกอยู่ที่เวียงจันทน์ ความว่า[6]

ศพนั้นก่อกุฎไว้ ณ วัดบางยี่เรือ ให้ประโคมทุกเพลาฯ ณ เดือนอ้าย มีศุภอักษรขึ้นไปถึงเจ้าฟ้ากษัตริย์ศึก ว่าสำเร็จการศึกแล้วให้กลับลงมา บุตรนั้นเสียแล้ว ยังแต่หลานเป็นผู้ชาย

ส่วนการศพของเจ้าจอมมารดาฉิมใหญ่ก็ถูกจัดขึ้นอย่างเจ้าฟ้าที่วัดบางยี่เรือ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวมีพระราชวิจารณ์เพิ่มเติมไว้ว่า[6]

การพระศพสมเด็จพระเจ้าปฐมบรมไอยิกาเธอ ซึ่งเปนพระมารดาเจ้าฟ้าเหม็นองค์นี้ มีหมายว่า จุลศักราช ๑๑๔๓ ปีชวดโทศกมีหมายเวรควรรู้อัศว์ ว่าเจ้าพระยาจักรีรับมีรับสั่งใส่เกล้าฯ สั่งว่าจะได้พระราชทางเพลิงพระศพพระมารดาสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ ณ วัดบางยี่เรือนอก ให้ทำการเมรุเปนอย่างพระศพเจ้าฟ้า แลเครื่องการพระศพครั้งนี้ เจ้าพระยาจักรีให้ช่างทำสังเคตเอก ฉัตรราชวัตรหีบบุทองอังกฤษทั้งสิ้น แลโรงพิเศษ ทิมพระสงฆ์สังเคตสามสร้าง แลโรงโขนนางรำ ระทาดอกไม้เพลิงต้นกัลปพฤกษ์ การทั้งปวงเหมือนพระศพกรมขุนอินทรพิทักษ์ พระเจ้านราสุริวงษ์ จะได้พระราชทานเพลิงพระศพพระมารดาสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ ณะ เดือน ๗ ปีวอกโทศก หลวงศรีกาฬสมุดให้ตัวอย่าง มีรูปเมรุ ในงานเมรุคราวนี้พระราชทานเงินโรงการเล่นขึ้นทุก ๆ อย่าง

ทั้งนี้การศพดังกล่าวถือเป็นการถวายพระเกียรติตามศักดิ์ที่เป็นพระราชมารดาของเจ้าฟ้า ปรากฏพระนามจารึกที่พระโกศว่า "เจ้าครอกฉิมใหญ่" และหลังการปราบดาภิเษกของพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ก็ได้ยกเจ้าจอมมารดาฉิมใหญ่ขึ้นเป็นเจ้าฟ้าย้อนหลังด้วยเช่นกัน[7]

ใกล้เคียง

สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง สมเด็จเจ้าฟ้าฯ กรมพระศรีสวางควัฒน วรขัตติยราชนารี สมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง สมเด็จพระศรีสวรินทิราบรมราชเทวี พระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี สมเด็จพระมหิตลาธิเบศร อดุลยเดชวิกรม พระบรมราชชนก สมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 แห่งสหราชอาณาจักร สมเด็จพระนเรศวรมหาราช