ประวัติ ของ สวนกระท่อม

จุดเริ่มต้น

กระท่อมมุงหลังคาจากล้อมรอบไปด้วยสวน (สร้างเมื่อ 1812–1816) ที่ถนนวอเบอร์น, แอมธิล, เบดฟอร์ดไชร์

สวนกระท่อม, เป็นที่รู้จักในช่วงสมัยเอลิซาเบท, เป็นสวนที่ปลูกสมุนไพรและผลไม้ต่างๆ[1] สมมติฐานหนึ่งที่พบคือ สวนนี้เป็นผลมาจาก แบล็ค เดธ ในยุค 1340, ชนชั้นใช้แรงงานเสียชีวิตเป็นจำนวนมาก ทำให้เหลือที่สำหรับปลูกเพียงกระท่อมเล็กๆมีสวนนิดหน่อยเท่านั้น[2] ในช่วงปลายของศตวรรษที่ 19,[3] สวนหลายๆที่จัดขึ้นมาในกระท่อมเล็กๆในหมู่บ้าน เพื่อใช้เป็นอาหารและสมุนไพร รวมถึงดอกไม้ต่างๆที่ปลูกเพื่อประดับให้ความสวยงาม เฮเลน ลีช วิเคราะห์ถึงความเป็นมาของสวนกระท่อมที่มีเสน่ห์นี้, มองลึกลงไปตั้งแต่รูปแบบของสวนจนถึงความเป็นมา, รวมถึงการปลูกสวนครัว และสวนสมุนไพร เธอสรุปว่า ในศตวรรษที่ 19 ขาดแคลนคนงานจำนวนมาก รวมถึงมีการพยายามปลูกพืชที่สามารถทนต่อความหนาวเย็นของหน้าแล้งได้, ในงานเขียนของ จอห์น คลอเดียส ลูดอน[4] พบว่า ลูดอนได้ร่วมออกแบบสวนขนาดใหญ่ที่ เกรท ทิว, อ็อกฟอร์ดไชร์, ที่ซึ่งคนงานในฟาร์มได้สร้างกระท่อมและสวนขนาดเล็กในพื้นที่ขึ้นมา—ประมาณเอเคอร์เดียวเท่านั้น—พวกเขาสามารถปลูกพืชไว้ทาน ทั้งยังเลี้ยงหมูและไก่ด้วย[5]

สวน โยแมน คอทเทจเจอร์ มีการเลี้ยงผึ้งและทำปศุสัตว์ เลี้ยงหมูและสร้างคอกหมูไว้ด้วย ซึ่งดูเข้ากันได้เป็นอย่างดี ในยุคกลางไม่ค่อยนิยมชมดอกไม้กันเท่าไหร่นัก พวกเขาสนใจเลี้ยงสัตว์เพื่อเอาเนื้อเป็นอาหารมากกว่า, สมุนไพรก็ปลูกเพื่อใช้ประโยชน์ทำยา หรือนำไปปรุงอาหาร มากกว่าปลูกเพื่อความสวยงามเพียงอย่างเดียวเท่านั้น[2] ในยุคของเอลิซาเบ็ท เริ่มมีความมั่งคั่งมากขึ้น ทำให้มีพื้นที่เหลือไว้ปลูกดอกไม้ประดับมากขึ้น มีการปลูกไวโอเล็ตมากมายกระจายในสวน (สวยงาม กลิ่นหอม และช่วยป้องกันไม่ให้มีตัวหนอนในสวนด้วย); คาเลนดูลาส และ พริมโรส ก็เป็นที่นิยมเช่นกัน นำไปทำอาหารรสชาติดีมาก นอกจากนั้นยังมี สวีต วิลเลี่ยม และ ฮอลลี่ฮ็อคส์ ที่ปลูกเพื่อประดับให้ความสวยงามเท่านั้น[6]

สวนและการพัฒนา

การออกแบบที่ "ดูเป็นธรรมชาติ" เป็นที่รู้จักโดยทั่ว อเล็กซานเดอร์ โป๊ป เป็นคนแรกๆที่เสนอแนวคิดเรื่องสวนง่ายๆไม่จัดตามแปลน, ในปี 1713 เขาเขียนบทความเกี่ยวกับสวน "ธรรมชาติเรียบง่ายที่ไม่ปรุงแต่ง"[7] ในศตวรรษที่ 18 นักเขียนอย่าง โจเซฟ แอดดิซัน และ ลอร์ด ชาฟทีสบิวรี ก็เห็นด้วยกับรูปแบบสวนสไตล์นี้ พัฒนาการของสวนกระท่อมในแต่ละยุคสามารถหาอ่านได้จาก เดอะ ค็อทเทจ การ์เด้นเนอร์ - คนจัดสวนกระท่อม (1848–61), เรียบเรียงโดย จอร์จ วิลเลียม จอห์นสัน, เรื่อง "ฟลอริส ฟลาวเวอร์ - ดอกไม้ในร้านขายดอกไม้", กล่าวถึง คาร์เนชั่น และ ออริคูลัส ซึ่งนิยมปลูกกันอย่างมาก นับว่าเป็นงานอดิเรกของคนชั้นแรงงาน[8]

ผลงานฟื้นฟูสวนของ เกอทรูด เจคกิล ที่บ้านมาเนอร์, อัพตัท เกรย์, แฮมไชร์

วิลเลียม โรบินสัน และ เกอร์ทรูด เจคกิล ร่วมแพร่แนวคิดสวนประเภทนี้ออกไปผ่านหนังสือหลายเล่ม และหลายๆบทความในแมกกาซีน เดอะ ไวลด์ การ์เด้น ของโรบินสัน ตีพิมพ์ในปี 1870, เป็นการตีพิมพ์ครั้งแรก เรื่อง "ดอกไม้ป่าในสวนอังกฤษ", ซึ่งเคยโดนตัดออกไปเมื่อคราวตีพิมพ์ครั้งก่อน[9] ในเรื่อง สวนดอกไม้อังกฤษ, ภาพประกอบไปด้วย สวนกระท่อมต่างๆ จาก โซเมอร์เซ็ท, เค้นท์ และ เซอร์รี่ , "สิ่งหนึ่งที่ได้จากสวนเล็กๆนี้คือ มันเป็นสวนที่น่ารักมาก สิ่งเล็กๆน้อยๆในสวนมีผลต่อผู้ที่พบเห็นได้"[10] ตั้งแต่ช่วงปี 1890 เพื่อนสนิทของเขา เจคกิล ได้ปรับแปลนออกแบบสวนที่จัดในบ้านหลังใหญ่ๆแถบชนบทให้ดูมีหลักการมากขึ้น ภาพ สีสันในสวนดอกไม้ (1908) ของเธอยังมีการตีพิมพ์มาจนถึงทุกวันนี้

โรบินสันและเจคกิล เป็นส่วนหนึ่งของกระแสการเคลื่อนไหวทางศิลปหัตถกรรม, กระแสนี้แพร่ไปทั้งในศิลปะ, สถาปัตยกรรม, และหัตถกรรม ในช่วงปลายของศตวรรษที่ 19 มีการสนับสนุน วาดภาพเขียนแนวง่ายๆไม่มีลายเส้นตายตัว ซึ่งเป็นผลมาจากอิทธิพลของสวนกระท่อมอังกฤษที่ดูโรแมนติก[11] งานแสดงศิลปหัตถกรรมในปี 1888 เริ่มมีกระแสเกี่ยวกับแนวคิดของสไตล์การจัดสวนชนบทที่ดูเป็นธรรมชาติ[12] งานการออกแบบสวนของโรบินสันและเจคกิลมักจะเกี่ยวข้องกับบ้านสไตล์ชนบท[13] ทั้งสองคนได้รับอิทธิพลมาจาก วิลเลี่ยม มอริส, หนึ่งในผู้นำกระแสการเคลื่อนไหวทางศิลปะหัตถกรรม—โรบินสันอ้างอิงคำวิจารณ์ของมอรริสในเรื่องของ แปลงดอกไม้ในสวน; เจคกิลเห็นพ้องกับแนวคิดของมอริสและได้วาดลายสวนดอกไม้ตามที่เธอออกแบบ[14] เมื่อมอริสสร้างบ้านสีแดงในเค้นท์, นับเป็นการจุดประกายความคิดแนวใหม่ในทางสถาปัตยกรรมและการจัดสวน—สวนแบบ"โบราณ" กลายมาเป็นกระแสท่ามกลางชาวอังกฤษชนชั้นกลาง, และความงามของสวนกระท่อมนี้ก็เริ่มแพร่ไปในอเมริกา[15]

สวนกระท่อมในปัจจุบัน

ไฟล์:The Clothes Basket.jpgHelen Allingham watercolor showing elite peonies and modern delphiniums in an idealised cottage garden.

ช่วงต้นศตวรรษที่ 20 คำว่า "สวนกระท่อม" อาจหมายรวมสวนที่มีขนาดใหญ่โตอย่าง ฮิดโคต มาเนอร์ ด้วยก็ได้, โดยสวนดังกล่าว วีต้า แซ็ควิลล์-เวสต์ ได้ให้คำนิยามไว้ว่า "สวนกระท่อมที่งดงามที่สุด"[16] แต่ลักษณะการจัดสวนมีการควบคุมโทนสีไว้อย่างดีเยี่ยม, เช่นสวน "เรด บอร์เดอร์" ที่โด่งดัง แซ็ควิลล์-เวสต์ได้นำความคิดนี้ไปจัด "สวนกระท่อม" ในรูปแบบของเธอเอง, ซึ่งเป็นหนึ่งในสวนที่ ปราสาทซิสซิงเฮิร์ส—แนวคิดของเธอที่มีต่อสวนกระท่อมคือ "ต้นไม้ที่ปลูกรวมๆกันแบบง่ายๆ, มีพุ่มไม้น่ารักๆที่ปลูกรวมกับกุหลาบ,[17] มีพืชสมุนไพรมากมาย, ไม้เลื้อยพาดไปมา, มีต้นไม้ต้นน้อยๆที่ขึ้นได้เองตามธรรมชาติ".[16] ทั้งนี้ ศิลปินอย่าง เฮเลน อัลลิงแฮม(1848–1926) ก็เห็นพ้องอย่างเดียวกันกับแนวคิดดังกล่าว[18] รวมถึง มาเกอรี่ ฟิช (1892–1969), ผู้ซึ่งเป็นเจ้าของสวน อีส แลมบรูค มาเนอร์[19]

สวนกระท่อมในฝรั่งเศสดัดแปลงมาจากช่วงต้นศตวรรษที่ 20 ตัวอย่างเช่น สวนโมเน็ทที่จีเวอร์นี ที่โด่งดัง, สวนขนาดใหญ่ที่ปลูกพืชมากมายหลายชนิด, หลากหลายสีสันสดใส, และสวนน้ำสวย ภายหลัง, คำว่า 'สวนกระท่อม' รวมๆถึงสวนทุกแบบที่จัดแบบง่ายๆ, ไม่มีแปลนตายตัว อาจใช้ต้นไม้ชนิดอื่นๆมาจัดให้แตกต่างจากสวนกระท่อมแบบโบราณได้ ดังเช่น ทุ่งหญ้าแพร์รี่ (ในอเมริกันตะวันตกกลาง) และ สวนกระท่อมแชปปารอลในแคลิฟอร์เนีย[20]

แหล่งที่มา

WikiPedia: สวนกระท่อม http://books.google.com/?id=3yjmCVlPyJQC&pg=PA17 http://books.google.com/?id=3yjmCVlPyJQC&pg=PA18 http://books.google.com/?id=5IF-VCcxGY0C&pg=PA48 http://books.google.com/?id=8VfO_WIAx0wC&pg=PA7 http://books.google.com/?id=B2v6KaZt9QkC&pg=PA172 http://books.google.com/?id=GlpJYel38hkC&pg=PA87 http://books.google.com/?id=HK4zaP32tlgC&pg=PA55 http://books.google.com/?id=IbhwIo3m3mQC&pg=PA80 http://books.google.com/?id=JAE7uOjMdDYC&pg=PA253 http://books.google.com/?id=KCFdx1bzf_YC&pg=PA131