พืชพรรณต่างๆ ของ สวนกระท่อม

ต้นไม้ต่างๆในสวนกระท่อมนี้จะนิยมพืชพรรณแบบสมัยก่อน ที่ให้ความรู้สึกเก่าแก่ ดูสวยงามแต่เรียบง่าย ในปัจจุบันมีนักจัดสวนจำนวนมากใช้พืชแบบดั้งเดิม หรือ ต้นไม้'เก่าแก่' หลากหลายชนิดมาตกแต่งสวน— ถึงแม้ว่า ต้นไม้เหล่านี้อาจจะไม่ใช่ต้นไม้ที่อยู่ในสวนกระท่อมแบบโบราณจริงๆก็ตาม[26] นอกเหนือไปจากนั้น สมัยนี้ยังมีดอกไม้อีกมากมายหลายชนิดที่สามารถนำมาตกแต่งให้ดูเข้ากันกับสวนกระท่อมได้ ยกตัวอย่างเช่น, กุหลาบสมัยใหม่ที่พัฒนาโดย เดวิด ออสติน เป็นที่นิยมอย่างมาก เพราะรูปทรงของกุหลาบมีลักษณะเดียวกันกับกุหลาบโบราณ(รูปทรงถ้วยซับซ้อนหลายชั้น) และกลิ่นที่หอมแรง—ทั้งนี้ยังสามารถบานทน, ออกดอกดกตลอดปี, และทนต่อโรค[27] สวนกระท่อมสมัยใหม่นี้ มักจะนำต้นไม้ พืชพรรณต่างๆในท้องถิ่นมาปรับใช้ในสวน ทำให้สวนสามารถทนต่อสภาพอากาศได้ดี, เนื่องจากสวนอยู่ทน มีประโยชน์มากกว่าการนำพืชพรรณแบบสวนโบราณมาปลูกในสภาพแวดล้อมที่ไม่อำนวย— แต่ถึงอย่างนั้น ก็มีการปลูกพืชพรรณในสวนกระท่อมแบบโบราณกันมากมายทั่วโลก[28]

กุหลาบ

A climbing sport of the elite Souvenir de la Malmaison, introduced before 1893, typical of a modern cottage garden.

กุหลาบเป็นต้นไม้ที่ขาดไม่ได้ในสวนกระท่อม: กุหลาบทรงพุ่ม, กุหลาบเลื้อย, กุหลาบโบราณเน้นที่ทรงพุ่มเขียวหนาแน่น, ไม่โปร่งเหมือนพันธุ์กุหลาบตัดดอกสมัยใหม่ สวนกระท่อมในสมัยก่อนนั้นจะใช้กุหลาบสายพันธุ์โรซา กัลลิกา, ซึ่งมีลักษณะทรงพุ่มกว้าง สูงราว 3–4 ฟุต, มีสีชมพูจางๆจนถึงสีม่วงเข้ม—รูปทรงดอกมีตั้งแต่ดอกชั้นเดียวและดอกหลายชั้น เป็นกุหลาบที่มีกลิ่มหอมมาก รวมถึงกุหลาบสายพันธุ์โบราณอโปเธแครี่ (อาร์. กัลลิกา 'ออฟฟิไซนาลิส'), ดอกสีแดงม่วงที่มีกลิ่นหอมเฉพาะตัว นอกจากนั้นยังมีกุหลาบอีกหลายสายพันธุ์ เช่น ดามัสก์ โรส, ที่ปลูกในยุโรปเพื่อใช้ในการปรุงน้ำหอม ต้นสูงได้ถึง 4-6 ฟุต หรืออาจจมากกว่านั้น, กิ่งก้านสามารถดัดได้ ทำให้สวนดูสบาย ไม่แข็งจนเกินไปนัก หรือสายพันธุ์ที่ต้นสูงหน่อยคือพวกอัลบา โรส, ที่สามารถปลูกได้งามในที่ร่ม[29]

โปรวองซ์ โรส หรือ โรซา เซนติโฟเลีย เป็น กุหลาบดอกใหญ่เต็มทรง เรียกกันว่า"แคบเบจ โรส" เป็นสายพันธุ์ที่มีชื่อเสียงมาก โด่งดังจากภาพเขียนของดัชช์ มาสเตอร์ ช่วงศตวรรษที่ 17 กุหลาบพุ่มสายพันธุ์นี้มีกลิ่นหอมมาก กว้างและสูงราว 5 ฟุต, ทรงต้นจะห้อยออกด้านข้าง สามารถดัดให้เลื้อยได้ง่าย กุหลาบเซนติโฟเลียนี้แตกแยกออกมาอีกหลายสายพันธุ์ แต่ละสายพันธุ์ก็เป็นที่นิยมอย่างมากในการจัดสวนกระท่อม, รวมไปถึงกุลาบมอสด้วย(กุหลาบที่มี 'มอส' มาอาศัยเจริญเติบโตอยู่ตามกิ่งก้าน) ไม่เหมือนสายพันธุ์ส่วนใหญ่กุหลาบในปัจจุบัน, กุหลาบโบราณจะออกดอกเพียงปีละครั้งเท่านั้น, ดังนั้นจะไม่มีการตัดแต่งต้นหลายครั้งในแต่ละปี การที่ไม่ออกดอกดกตลอดปี ทำให้มีต้นไม้ดอกไม้อื่นๆมาอาศัยยึดเกาะเพื่อเลื้อย อย่างเช่น เถาเคล็มมาทิส กุหลาบในสวนกระท่อมนี้จะไม่ปลูกแยกเดี่ยวๆต่างหาก, แต่ส่วนใหญ่ก็จะมีการปลูกพืชชนิดอื่นๆมาแซม เช่น ดอกไม้, เถาไม้, หรือ พืชคลุมดินต่างๆ[30]

ในศตวรรษที่ 18 มีการเปิดตัวกุหลาบหลากหลายสายพันธุ์ โดยเฉพาะไชน่า โรสส์ (มาจากชื่อ โรซา ไคเนนซิส) ซึ่งเป็นสายพันธุ์ที่ ออกดอกตลอดปี แต่ยังคงไว้ซึ่งรูปทรงของกุหลาบโบราณ รวมถึงพันธุ์ เบอร์เบิ้น โรส และ นอเซ็ต โรส, ซึ่งเป็นที่นิยมเอามาจัดไว้ในสวนกระท่อม, และล่าสุด, กุหลาบ"อังกฤษ" ของ เดวิด ออสติน[31]

ไม้เลื้อย

เคล็มมาทิส วิทัลบา

กุหลาบโบราณหลายสายพันธุ์ มีกิ่งก้านที่ยาวมาก, ซึ่งสามารถนำมายึดกับโครงไม้ระแนงหรือกำแพงได้ เรียกว่า "พาด", มากกว่า "เลื้อย"[32] ไม้เลื้อยในสวนกระท่อมโบราณนั้นประกอบไปด้วย ยูโรเปียน ฮันนี่ซัคเคิล (โลนิเซรา เพอริไซเมนัม) และ ทราเวิลเลอร์ จอย (เคล็มเมทิส ไวทัลบา) แต่ในสวนกระท่อมปัจจุบัน นิยมปลูกสายพันธุ์ เคล็มเมทิส ที่มีรูปร่างลักษณะเดียวกับสายพันธุ์แบบโบราณ, ใบขึ้นห่างกัน ทำให้สามารถโตแทรกต้นไม้และกุหลาบต่างๆ รวมถึงตามรั้วและทางเดินได้[33] นอกจากนั้นยังมีสายพันธุ์เคล็มมาทิสอีกมากมายที่นำมาจัดสวนกระท่อม เช่น เคล็มเมทิส อาร์มานดี, เคล็มเมทิส ไครโซโคมา, และ เคล็มเมทิส แฟลมมูลา. ต้นฮันนี่ซัคเคิลก็นิยมเป็นสายพันธุ์ ฮันนี่ซัคเคิลญี่ปุ่น และ โลนีเซรา ทราโกฟิลลา[34]

พืชตามแนวพุ่มไม้

ในสวนกระท่อมโบราณนั้น, มีการปลูกต้นไม้เป็นแนวรั้วเพื่อป้องกันคนร้ายและสร้างความเป็นส่วนตัวให้กับพื้นที่พักอาศัย ใบของพืชที่มีหนาม สามารถใช้ชงชาหรือทานเล่นเป็นขนมรสชาติเยี่ยม, ส่วนพวกดอกไม้ใช้ทำไวน์ สำหรับพืชที่โตไวอย่าง เอลเดอร์เบอร์รี่ นอกจากจะได้ประโยชน์ในการทำเป็นรั้วแล้ว, ผลเบอร์รี่ยังนำมาทำไวน์และอาหารได้ด้วย ส่วนดอกนำมาทุบ ใช้ทำโลชั่นหรือขี้ผึ้ง ส่วนเนื้อไม้นำไปใช้ประโยชน์ได้หลายอย่าง, ทั้งของเล่น, หมุด, ไม้เสียบ, และไม้ตกปลา ยังมี ฮอลลี่ ที่นิยมนำมาปลูกเป็นแนวรั้วเหมือนกัน เพราะมีประโยชน์ โตไว และสามารถขยายพันธุ์ได้เอง ส่วน พรีเว็ต ก็ปลูกง่ายและสามารถขยายพันธุ์เองได้เช่นกัน ในภายหลัง, ไม้ประดับที่เน้นความสวยงามมากกว่าประโยชน์ใช้สอยก็กลายมาเป็นที่นิยมในการทำแนวรั้วสวนกระท่อม, อย่างเช่น ลอเร็ล, ไลแลค, สโนว์เบอร์รี่, จาโพนิกา,และอื่นๆ[35]

ดอกไม้และเหล่าสมุนไพร

ลาเวนเดอร์

ดอกไม้ที่นิยมปลูกกันมากในสวนกระท่อม คือพวกดอกไม้ที่ดึงดูดใจทั้งหลาย—เช่น ไวโอเล็ต, พิงค์, และพริมโรสส์[33]—รวมถึงพวกที่ปลูกเพื่อใช้ประโยชน์บางอย่าง ตัวอย่างเช่น, คาเลนดูลา, เลี้ยงง่าย ดอกสีส้มสดใส, ทานได้มีประโยชน์, หรือใช้เพื่อเพิ่มสีสันในเนยและชีสได้, อาจเติมลงในซุปหรือสตูว์, ใช้ทาบาดแผลได้ ในสวนกระท่อมแบบโบราณจะปลูก พืชล้มลุก และสมุนไพร, ซึ่งโตง่าย ขยายพันธุ์ได้เอง[36] พวกที่นิยมปลูกกัน ได้แก่ ไวโอเล็ค, แพนซี่, สต็อค, แลพ มิโนเน็ตต์[26]

ไม้ยืนต้นในสวนกระท่อมมีมากมาย [33]— เป็นไม้ที่อยู่คู่กับสวนกระท่อมมาช้านาน เช่น ฮอลลี่ฮ็อคส์, คาร์เนชั่น, สวีต วิลเลี่ยมส์, มาเกอร์เร็ต, มาริโกลด์, ลิลลี่, โพนี่, ทิวลิป, โครคัส, เดซี่, ฟ็อกโกลฟว์, มงส์ฮู้ด, ลาเวนเดอร์, แคมพานูลาส์, โซโลมอน ซีล, อีฟเวนนิ่ง พริมโรส, ลิลลี่ ออฟ เดอะ วัลเล่ย์, พริมโรส, คาวสลิป, และ กุหลาบหลากหลายสายพันธุ์[26]

ในปัจจุบัน อาจนับว่าพืชสมุนไพรเป็นพืชประดับสวน, แต่สำหรับสวนกระท่อมในสมัยก่อน ปลูกเพื่อใช้ประโยชน์จริงๆ สมุนไพรนั้นมีประโยชน์มากมาย อาจใช้เป็นยา, เครื่องอาบน้ำ, หรือใช้ทำความสะอาด กลิ่นของสมุนไพรช่วยดับกลิ่นที่ไม่พึงประสงค์ได้ บางชนิดใช้นำมาย้อมสีผ้า[37] สมุนไพรที่นิยมปลูกในสวนกระท่อมแบบโบราณ ได้แก่ เซจ, ไทม์, เซ้าเธิร์นวู้ด, วอร์มวู้ด, แคทมิ้นท์, ฟีเวอร์ฟิว, ลังเวิท, โซปเวิท, ฮีสซอป, สวืท วู้ดรัฟ, และ ลาเวนเดอร์[38][39]

ผลไม้

ผลไม้ในสวนกระท่อมโบราณ จะประกอบไปด้วย แอ๊ปเปิ้ล และ แพร์, เพื่อใช้ทำ ไซเดอร์ และทานผล,[40] มีกูสเบอร์รี่และราสเบอร์รี่ ส่วนสวนกระท่อมสมัยใหม่จะปลูกผลไม้หลากหลายมาก มีการปลูกเพื่อประดับสวนให้ดูสวยงาม หรือปลูกต้นถั่วต่างๆ, อย่างเช่น แครปแอ๊ปเปิ้ล และ เฮเซล, รวมไปถึงต้นไม้อย่างด๊อกวู้ด[41]

แหล่งที่มา

WikiPedia: สวนกระท่อม http://books.google.com/?id=3yjmCVlPyJQC&pg=PA17 http://books.google.com/?id=3yjmCVlPyJQC&pg=PA18 http://books.google.com/?id=5IF-VCcxGY0C&pg=PA48 http://books.google.com/?id=8VfO_WIAx0wC&pg=PA7 http://books.google.com/?id=B2v6KaZt9QkC&pg=PA172 http://books.google.com/?id=GlpJYel38hkC&pg=PA87 http://books.google.com/?id=HK4zaP32tlgC&pg=PA55 http://books.google.com/?id=IbhwIo3m3mQC&pg=PA80 http://books.google.com/?id=JAE7uOjMdDYC&pg=PA253 http://books.google.com/?id=KCFdx1bzf_YC&pg=PA131