ประวัติศาสตร์ ของ สวนจัวเจิ้ง

Sketch of the garden by Wen Zhengming

ณ สถานที่ตั้งสวนจัวเจิ้งในปัจจุบันเคยเป็นที่ตั้งของสวนมาตั้งแต่ยุคเชาซิ่ง (Shaoxing period, ค.ศ. 1131-1162) สมัยราชวงศ์ซ่งใต้ มีการเปลี่ยนเจ้าของ รวมทั้งถูกทำลายและบูรณะใหม่ต่อเนื่องมาหลายครั้ง ในสมัยราชวงศ์ถัง เคยเป็นสวนในที่พักอาศัยของลู่กุยเหมิง (อังกฤษ: Lu Guimeng; จีนตัวย่อ: 陆龟蒙) บัณฑิตและกวีสมัยนั้น สมัยราชวงศ์หยวน สถานที่แห่งนี้ยังเคยเป็นสวนของวัดต้าฮง (Dahong Temple) ด้วย

ต่อมาในปี ค.ศ. 1513 ขุนนางสมัย ราชวงศ์หมิงชื่อ หวังเซี่ยนเฉิง (Wang Xiancheng) ได้สร้างสวนขึ้นใหม่ในบริเวณพื้นที่ทรุดโทรมของวัดต้าฮงเดิมซึ่งถูกไฟใหม้ หลังจากการกลับมายังบ้านเกิดของเขาในเมืองซูโจวในปี ค.ศ. 1510 เมื่อบิดาของเขาเสียชีวิตลง ซึ่งในระหว่างรับราชการนั้น ชีวิตของหวังเซี่ยนเฉิงมีทั้งขาขึ้นและลงอยู่หลายครั้ง จนเมื่อตำแหน่งสุดท้ายก่อนลาออกคือ ผู้ปกครองเทศมณฑลย่งเจีย (Yongjia) ในมณฑลเจ้อเจียง (Zhejiang)[2]

มีผู้เล่าประวัติของสวนนี้ต่างๆ กันไป ทางหนึ่ง (หลักฐานแรกราวปี ค.ศ. 1517) หวังเซี่ยนเฉิงได้รับแรงบันดาลใจจากบทร้อยแก้วในอดีตของพานเยว่ (Pan Yue) บัณฑิตชื่อดังสมัยราชวงศ์จิ๋นตะวันตก ชื่อว่า ชีวิตที่ปรารถนา (An Idle Life) กล่าวว่า "ฉันมีความสุขกับชีวิตที่ไร้กังวล ด้วยการเพาะปลูกต้นไม้และสร้างบ้านของตัวเอง ฉันทดน้ำเพื่อนำมารดผักในสวนของฉัน ชีวิตเยี่ยงนี้ช่างเหมาะสมกับข้าราชการเกษียณอายุอย่างฉันจริงๆ (I enjoy a carefree life by planting trees and building my own house...I irrigate my garden and grow vegetables for me to eat...such a life suits a retired official like me well.)"[3] ซึ่งคำกล่าวนี้สะท้อนถึงชีวิตของหวังซี่ยนเฉิงที่ถูกกลั่นแกล้งให้ออกจากราชการ จึงเหนื่อยหน่ายชีวิตการเป็นขุนนาง และขอมาอยู่อย่างสงบท่ามกลางธรรมชาติ นอกจากนั้นเขายังเขียนข้อความตัดพ้อไว้ว่า "นี่เป็นหนทางของนักปกครองผู้ไม่ประสบความสำเร็จ (This is the way of ruling for an unsuccessful politician.)[4] โดยคำว่า จัว แปลตามศัพท์ได้ว่า โง่ เงอะงะ หรือหยาบ ซึ่งสอดคล้องกับชีวิตของหวังเซี่ยนเฉิงผู้สร้างที่ไม่ประสบความสำเร็จในงานราชการ จึงใช้คำนี้เป็นส่วนหนึ่งของชื่อสวนเพื่อประชดสังคม ยังมีเรื่องเล่าอีกทางหนึ่งว่า ขุนนางผู้นี้โกงเงินราชการมาสร้างสวน และภายหลังก็ต้องเสียสวนนี้ไปเนื่องจากต้องหาเงินไปใช้หนี้ที่บุตรเสียการพนัน[5]

ในการก่อสร้างสวนจัวเจิ้ง หวังเซี่ยนเฉิงได้ให้ เหวิ๋นเจิงหมิง (อังกฤษ: Wen Zhengming;จีนตัวย่อ : 文徵明) ผู้เป็นทั้งเพื่อนและนักออกแบบสวนชื่อดังของซูโจวเป็นผู้ออกแบบและควบคุมการก่อสร้าง ซึ่งใช้เวลานาน 16 ปี คือในปี ค.ศ. 1526 จึงสร้างเสร็จ เหวิ๋นเจิงหมิงได้เขียนข้อความชื่อ "หมายเหตุสวนจัวเจิ้งของหวัง (Notes of Wang's Humble Administrator's Garden)" และวาดภาพ "ทิวทัศน์ของสวนจัวเจิ้ง (Landscape of the Humble Administrator's Garden)"  ไว้เมื่อปี  ค.ศ. 1533  ประกอบด้วยภาพวาดพู่กันจีน 31 ภาพ และบทกลอนอีกหลายบทเพื่อเป็นอนุสรณ์สำหรับสวนแห่งนี้[3]

หลังจากที่บุตรชายของหวังเซี่ยนเฉิงเสียสวนนี้ไปเนื่องจากการติดหนี้การพนัน ก็มีการเปลี่ยนมือเจ้าของสวนแห่งนี้หลายครั้ง ในปี ค.ศ. 1631 สวนทางด้านตะวันออกก็ถูกแบ่งออกจากพื้นที่ส่วนอี่น เนื่องจากหวังซินยี่ รองรัฐมนตรีของกระทรวงยุติธรรม (Wang Xinyi, Vice Minister of the Justice Board)[3] ได้ตกลงซื้อพื้นที่สวนส่วนนี้ไป อีกทั้งยังได้ปรับปรุงสวนและอาคารหลายครั้งในช่วง 4 ปีต่อจากนั้น จนกระทั่งเสร็จสิ้นลงเมื่อปี ค.ศ. 1635 แล้วจึงให้ชื่อของสวนใหม่ว่า กุยเถียนเหยวนจวี (อังกฤษ: Dwelling Upon Return to the Countryside; จีนตัวย่อ: 歸田園居) เลียนแบบกวีเถายวนหมิง (ค.ศ. 365 – 427) ที่ออกจากราชการมาใช้ชีวิตเยี่ยงชาวไร่ชาวนา และในปี ค.ศ. 406 กวีผู้นี้ได้แต่งบทกวีชุด กุยหยวนเถียนจวี หรือกลับสู่นาสวน ซึ่งมีอยู่ 5 บท [5]

ต่อมาในปี ค.ศ. 1738  เจียงชี่ ผู้ปกครองเมืองเจียงซู (Jiang Qi, Governor of Jiangsu) ได้ซื้อสวนส่วนกลาง (central garden) ไว้และยังได้ บูรณะสวนครั้งใหญ่อีกด้วย.[3] ในปี ค.ศ. 1860 สวนแห่งนี้กลายเป็นที่พักของผู้บัญชาการทัพกบฏไท่ผิง ชื่อ หลี่ซิ่วเฉิง (อังกฤษ: Li Xiucheng ; จีนตัวย่อ: 李秀成) ซึ่งมีการปรับเปลี่ยนรูปแบบสวนอย่างมาก จนเป็นลักษณะสวนที่เป็นอยู่ในปัจจุบันนี้[6]

นอกจากนั้น ในปี ค.ศ. 1738  สวนตะวันตกก็ถูกซื้อไปโดย Ye Shikuan Chief Histographer เช่นกัน และให้ชื่อสวนส่วนนี้ว่า"สวนหนังสือ" (The Garden of Books) และหลังจากนั้นก็ถูกซื้อต่อโดยพ่อค้าชาวเมืองซูโจวชื่อ จาง ลิ่วเฉียน (Zhang Lüqian) เมื่อปี ค.ศ. 1877 ซึ่งได้ถูกเปลี่ยนชื่ออีกครั้งเป็น (The Subsidiary Garden) [3]

สมัยกบฏไท่ผิงหรือไต้เผ็ง (ค.ศ. 1850–1864) และช่วงที่ซูโจวตกอยู่ใต้การยึดครองของต่างประเทศ สวนนี้ถูกทิ้งโดยไม่มีการบำรุงรักษา[5]

เมื่อปี ค.ศ. 1949 สมัยรัฐบาลสาธารณรัฐประชาชนจีน (ค.ศ. 1949–ปัจจุบัน) ได้รวมพื้นที่ทั้งสามส่วนเข้าด้วยกัน และในปี ค.ศ. 1952 ได้มีการปรับปรุงสวนนี้ขึ้นมาใหม่ซึ่งต่อมาเปิดเป็นสถานที่ท่องเที่ยวพักผ่อนหย่อนใจของประชาชนและนักท่องเที่ยวต่างชาติมาเยี่ยมชม[5]

ปี ค.ศ. 1997 สวนจัวเจิ้งได้รับการบันทึกเป็นมรดกโลกโดยองค์การการศึกษา วิทยาศาสตร์ และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ (UNESCO)