ประวัติและวิวัฒนาการสังคมสงเคราะห์ทางการแพทย์ ของ สังคมสงเคราะห์ทางการแพทย์

                วิวัฒนาการการงานสังคมสงเคราะห์ทางการแพทย์ เริ่มต้นขึ้นในประเทศไทย เมื่อ พ.ศ. 2495  ในเวลานั้น องค์การสหประชาติ  ได้ส่งตัว นางสาว Eileen  Davidso35n  เข้ามาจัดตั้งสถานสงเคราะห์แม่และเด็กในประเทศไทย (นงลักษณ์  เอมประดิษฐ์, 2530, น. 6-7) การปฏิบัติงานเน้นหนักที่ปัญหาด้านสุขภาพอนามัยเป็นหลัก มีการร่วมมือกันระหว่างองค์การอนามัยโลกและสหประชาชาติ ในการส่งทีมแพทย์ พยาบาล  นักสาธารณสุขศาสตร์ และนักสังคมสงเคราะห์ เข้ามาร่วมดำเนินการ  ตลอดระยะเวลา  62 ปี  ที่นักสังคมสงเคราะห์  ทำหน้าที่ สนับสนุน  ส่งเสริมประชาชนให้มีสุขภาพดี (promotion) บำบัดรักษาสุขภาพอนามัย (cure) ป้องกันปัญหาสุขภาพ (prevention) และ ฟื้นฟูสุขภาพของประชาชน (rehabilitation)

( ฉลวย จุติกุล, 2544, )เห็นได้ว่างานสังคมสงเคราะห์ทางการแพทย์ เป็นงานที่ทำงานกับประชาชนตั้งแต่ระดับปัจเจกชน ไปจนถึงระดับสังคม 

                การทำงานสังคมสงเคราะห์ในโรงพยาบาล  ระยะเริ่มการปฎิบัติงานในโรงพยาบาลสังกัดส่วนภูมิภาค จนถึงระยะแผนพัฒนาการสาธารณสุขฉบับที่  4 ( พ.ศ.2520-2524)   งานสังคมสงเคราะห์เป็นแผนกงานอิสระขึ้นตรงต่อผู้อำนวยการโรงพยาบาลไม่ได้สังกัดฝ่ายหรือกลุ่มงานใด ต่อมาเมื่อมีการจัดตั้งฝ่ายเวชกรรมสังคมขึ้นในโรงพยาบาลศูนย์และโรงพยาบาลทั่วไป อย่างเป็นทางการ กิจกรรมที่นักสังคมสงเคราะห์ดำเนินการในโรงพยาบาลส่วนภูมิภาค  ได้แก่ การให้บริการสงเคราะห์ผู้ป่วยเฉพาะราย การพิจารณาค่ารักษาพยาบาล  การสัมภาษณ์และสอบประวัติการให้คำปรึกษาแนะนำผู้ป่วยที่มีปัญหาอารมณ์ จิตใจ  แฃะครอบครัวเป็นหลัก      หลัง ปี 2525    การปฎิบัติงานสังคมสงเคราะห์โรงพยาบาลศูนย์/โรงพยาบาลทั่วไป ถูกรวมไว้เป็นหนึ่งในงานหนึ่งในโครงสร้างงานฝ่ายเวชกรรมสังคม  มีผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทั้งรูปแบบและแนวทางในการปฎิบัติงาน จากการให้บริการสนับสนุนการรักษาพยาบาล ไปสู่การผสมผสานบริการไปในกิจกรรมต่างๆ ซึ่งดำเนินการโดยฝ่ายเวชกรรมสังคม ครอบคลุมถึงการส่งเสริมสุขภาพ ป้องกันโรค รักษาพยาบาล และการฟื้นฟูสภาพทั้งในระดับบุคคล ครอบครัว และชุมชน    เมื่อสำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข ได้จัดทำหนังสือแนวทางการปฎิบัติงานโรงพยาบาลศูนย์/โรงพยาบาลทั่วไป ได้กำหนดรายละเอียด งานของฝ่ายเวชกรรมสังคม และในส่วนงานสังคมสงเคราะห์ ได้ อธิบายลักษณะงานไว้ว่า   “ งานสังคมสงเคราะห์ ประกอบด้วย การสงเคราะห์ผู้ป่วยและครอบครัว  การติดต่อประสานงานกับหน่วยงานของรัฐและเอกชน การแนะนำปรึกษาการสังคมสงเคราะห์ทางการแพทย์และสาธารณสุขต่อคู่สมรส ครอบครัวคนพิการ หรือผู้มีปัญหาทางสังคมอื่นๆ” และกำหนดให้นักสังคมสงเคราะห์ให้บริการในงานเวชกรรมฟื้นฟูและงานจิตเวช 

                  ปี 2528-2529 เมื่อโครงการพัฒนาระบบริการของสถานบริการและหน่วยงานสาธารณสุขในส่วนภูมิภาค (พบส.) คณะกรรมการพัฒนางานเวชกรรมสังคม ได้จัดทำขอบเขตงานและมาตรฐานกิจกรรมในงานสังคมสงเคราะห์ ของ รพศ/รพท ให้มีการปฎิบัติงานด้านการสังคมสงเคราะห์ผู้ป่วยและครอบครัว การประสานงาน และการให้คำปรึกษาแนะนำ ครอบคลุมทั้งในโรงพยาบาลและในชุมชน ซึ่งใช้เป็นแนวทางการฎิบัติงานสังคมสงเคราะห์ในช่วงนั้น  

                      ปี พ.ศ. 2532 สังคมสงเคราะห์ทางการแพทย์ได้ก่อตั้งชมรมชมรมนักสังคมสงเคราะห์ในโรงพยาบาลศูนย์/โรงพยาบาลทั่วไปและเครือข่ายนักสังคมสงเคราะห์ทางการแพทย์ซึ่งได้ปฏิบัติงานด้านสุขภาพกระจายกันอยู่ในสถานบริการสุขภาพระดับต่างๆทั่วประเทศทั้งในส่วนของกระทรวงสาธารณสุข มหาวิทยาลัย กรุงเทพมหานคร กองทัพ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ หน่วยงานการกุศลและ องค์กรภาคเอกชน เป็นต้น   มีวัตถุประสงค์ เพื่อกำหนดและส่งเสริมมาตรฐานการปฏิบัติงานของวิชาชีพสังคมสงเคราะห์ทางการแพทย์ ศึกษา ค้นคว้า ส่งเสริมและเผยแพร่ความรู้ทางสังคมสงเคราะห์ทางการแพทย์ ส่งเสริมพิทักษ์ประโยชน์ของวิชาชีพสังคมสงเคราะห์ทางการแพทย์ เพื่อส่งเสริมเครือข่ายความร่วมมือในการปฏิบัติงานด้านสวัสดิการสังคมและสังคมสงเคราะห์ทางการแพทย์และจัดสวัสดิการแก่หมู่สมาชิก ตลอดจนส่งเสริมการประสานงานแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ด้านสวัสดิการสังคม และสังคมสงเคราะห์และให้ความร่วมมือกับองค์การวิชาชีพที่เกี่ยวข้อง ทั้งในและต่างประเทศ 

                 ใน ปี พ.ศ. 2530-2534  ในระยะแผนสาธารณสุขฉบับที่ 6 กองโรงพยาบาลภูมิภาคได้จัดทำแผนพัฒนาระบบริการเวชกรรมสังคม ซึ่งรวมกิจกรรมการพัฒนางานสังคมสงเคราะห์ในแผนเดียวกัน ภายใต้การดำเนินงานของคณะทำงานพัฒนางานเวชกรรม ซึ่งฝ่ายแผนงานและโครงการ กองโรงพยาบาลภูมิภาค  เป็นหน่วยเลขานุการ  และในปี พ.ศ..2531 ระยะที่นายแพทย์ปัญญา  สอนคม เป็นผู้อำนวยการกองโรงพยาบาลภูมิภาค ( ปัจจุบันเกษียณอายุราชการแล้ว)  และนายแพทย์ศุภชัย คุนารัตพฤกษ์ เป็นหัวหน้าฝ่ายแผนงานโครงการ     ( ปัจจุบันเกษียณอายุราชการแล้ว)  กองโรงพยาบาลภูมิภาค  มีการแต่งตั้งนักสังคมสงเคราะห์จากโรงพยาบาลในส่วนภูมิภาค จำนวน 10 คน เป็นคณะทำงานพัฒนางานสังคมสงเคราะห์”  ทำให้เกิดเกณฑ์มาตรฐานในการปฎิบัติงานสังคมสงเคราะห์ของโรงพยาบาลศูนย์/โรงพยาบาลทั่วไป นอกจากเกณฑ์มาตรฐานในการทำงาน แล้วคณะทำงานดังกล่าว ยังทำหน้าที่พัฒนา ปรับปรุงงานสังคมสงเคราะห์ มีการจัดประชุมวิชาการประจำปี สร้างระบบสนับสนุนช่วยเหลือ นิเทศงาน ปฐมนิเทศงานให้กับผู้ปฎิบัติงานใหม่ พัฒนาระบบการจัดเก็บข้อมูล  ได้มีการพัฒนางานอย่างเป็นรูปธรรม ตั้งแต่นั้นมา (คู่มือการปฎิบัติงานสังคมสงเคราะห์ทางการแพทย์ โรงพยาบาลศูนย์/โรงพยาบาลทั่วไป,2538  น.1-5)    

                ปี พ.ศ. 2542 นักสังคมสงเคราะห์ทางการแพทย์ ได้รวมตัวกันพัฒนามาตรฐานและคู่มือการปฏิบัติงานสังคมสงเคราะห์ โรงพยาบาลศูนย์/โรงพยาบาลทั่วไป โดยเริ่มจาก กองโรงพยาบาลภูมิภาค สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข กระทรวงสาธารณสุข ซึ่งเนื้อหาสาระสำคัญมาตรฐานและคู่มือการปฏิบัติงานสังคมสงเคราะห์ โรงพยาบาลศูนย์/โรงพยาบาลทั่วไป ได้กำหนดประเภทงานสังคมสงเคราะห์ ไว้ 3 มาตรฐาน ได้แก่ แบ่งออกเป็น  3  ส่วน  ดังนี้

                  1)  มาตรฐานงานบริหารสังคมสงเคราะห์  ประกอบด้วย  จัดเตรียมสถานที่สำหรับการให้บริการที่เป็นสัดส่วนเหมาะสม  การจัดทำ/จัดหาเครื่องมือ/อุปกรณ์ การให้บริการสังคมสงเคราะห์ ได้แก่ คู่มือการปฏิบัติงานสังคมสงเคราะห์  เครือข่ายการให้บริการสังคมสงเคราะห์ที่กำหนดไว้ชัดเจนทั้งภาครัฐและเอกชน   การเตรียมความพร้อมด้านบุคลากรผู้ปฏิบัติงานสังคมสงเคราะห์  โดยการมีนักสังคมสงเคราะห์ในการปฏิบัติงาน  และมีบุคลากรในงานสังคมสงเคราะห์ที่ผ่าน การอบรมหรือปฐมนิเทศเกี่ยวกับงานสังคมสงเคราะห์ การบริหารจัดการเพื่อสนับสนุนงานด้านสังคมสงเคราะห์ เกี่ยวกับการจัดให้มีคำอธิบายงาน/จัดทำแผนงานและแผนปฏิบัติซึ่งกำหนดการทำงานที่ชัดเจนรวมทั้งมีการจัดตั้งหรือ บริหารกองทุนสังคมสงเคราะห์ 

                  2)  มาตรฐานงานด้านวิชาการ  ประกอบด้วย การจัดทำทะเบียน/บันทึก  การให้บริการสังคมสงเคราะห์  การจัดทำรายงานการนำเสนอข้อมูลงานสังคมสงเคราะห์    การจัดทำวิเคราะห์ข้อมูลงานสังคมสงเคราะห์     การเผยแพร่ วิชาการ ผลงานให้เป็นประโยชน์ต่อสาธารณชน

                 3 ) มาตรฐานงานด้านบริการ ประกอบด้วย   ประกอบด้วย 6 งาน คือ 1. งานตรวจวินิจฉัยและงานบำบัดทางสังคม 2. งานเฝ้าระวังปัญหาทางสังคม 3. งานส่งเสริมและฟืนฟูสมรรถภาพทางสังคม 4. งานจัดการและพัฒนาทรัพยากรทางสังคม 5. งานสังคมสงเคราะห์ชุมชน 6. งานสวัสดิการสาธารณสุข

                ปี พ.ศ. 2546 รัฐบาลได้กำหนดนโยบาย “หลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า” ส่งผลให้เกิดการปฏิรูประบบราชการของกระทรวงสาธารณสุขและหลักประกันสุขภาพของประชาชน โดยปรับโครงสร้างการบริหารราชการส่วนกลาง กองโรงพยาบาลภูมิภาคได้ปรับเป็น สำนักพัฒนาระบบบริการสุขภาพ กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ และช่วงเวลานั้น ได้มีการออกกฎหมายใหม่ ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการปฏิบัติงานสังคมสงเคราะห์ทางการแพทย์ ได้แก่ พ.ร.บ. หลักประกันสุขภาพแห่งชาติ พ.ศ. 2545 พ.ร.บ. ส่งเสริมการจัดสวัสดิการสังคม พ.ศ. 2546  พ.ร.บ. คุ้มครองเด็ก พ.ศ. 2546  พ.ร.บ.ผู้สูงอายุ  พ.ศ. 2546 พ.ร.บ. ส่งเสริมการและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ พ.ศ. 2550 พ.ร.บ. คุ้มครองผู้ถูกกระทำด้วยความรุนแรงในครอบครัว พ.ศ. 2550 และพ.ร.บ. สุขภาพจิต พ.ศ. 2551 เป็นต้น จากสถานการณ์ดังกล่าว นักสังคมสงเคราะห์ทางการแพทย์ ได้รวมตัวกันพัฒนา “แนวทางการดำเนินงานสวัสดิการสังคม เพื่อรองรับการปฏิรูประบบราชการและหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า” จึงส่งผลให้คณะทำงานพัฒนางานสังคมสงเคราะห์ โรงพยาบาลศูนย์/โรงพยาบาลทั่วไป ได้มีการนำ บัญชีปัญหาทางสังคม (social problem list) มาใช้ในประเมินการปฏิบัติงานตามเกณฑ์มาตรฐานงานสวัสดิการสังคมในมาตรฐานที่ 1 การวินิจฉัยและบำบัดทางสังคม (2546,น. 114)

                 ปี  พศ.2547    เกิดเหตุการณ์ภัยพิบัติคลื่นยักษ์สึนามิที่เกิดขึ้นกับประเทศไทย  ในวันที่ 26 ธันวาคม 2547  เกิดความสูญเสียอย่างเอนกนันท์ต่อประเทศชาติ นักวิชาการทุกกลุ่ม ได้ตื่นตัวเกิดการเรียนรู้ถึงการพัฒนาการบริหารจัดการเมื่อเกิดภัยพิบัติ ในงานครั้งนั้นกระทรวงสาธารณสุขได้จัดทีมงานหลายทีมงานลงไปช่วยปฎิบัติงานในพื้นที่ประสบภัย  นักสังคมสงเคราะห์โรงพยาบาลศูนย์/โรงพยาบาลทั่วไป เป็นบุคลากรอีกกลุ่มหนึ่งที่ได้เข้าไปร่วมทำงานเพื่อร่วมทำงานเพื่อจัดบริการทางสังคมให้ประชาชนผู้ประสบภัยสีนามึ  หลังจากการทำงาน กลุ่มนักสังคมสงเคราะห์ทางการแพทย์ ได้ถอดบทเรียนการทำงานและสร้างคู่มือการทำงานและแนวทางการทำงานในเหตุการณ์วิกฤติขึ้น  ในปี 2549    โดยได้รับสนับสนุนจาก กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ  กรมสุขภาพ  และองค์การอนามัยโลก  ทั้งนี้เพื่อให้ทุกคนได้ศึกษา เรียนรู้ และทำความเข้าใจ เพื่อช่วยให้การจัดบริการสังคมในเหตุการณ์ฉุกเฉินอย่างมีประสิทธิภาพ และเตรียมพร้อมรองรับเหตุการณ์ภัยพิบัติที่มีโอกาสขึ้นในทุกพื้นที่ในประเทศไทย 

                 ปี  พศ.2551      กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ โดยสำนักพัฒนาระบบบริการสุขภาพและคณะกรรมการพัฒนางานสวัสดิการสังคม โรงพยาบาลศูนย์/โรงพยาบาลทั่วไป ได้จัดหนังสือคู่มือแนวทางการทำงาน ในสถานการณ์ทางด้านด้านสาธารณสุขและสวัสดิการสังคมมีการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างใหม่หน่วยงานสวัสดิการสังคม อยู่ภายใต้กำกับดูแลของกลุ่มภารกิจสนับสนุนบริการสุขภาพ  ทำหนังสือคู่มือเพื่อทวบทวนองค์ความรู้ สถานการณ์แนวโน้ม นโยบายและแผนงานที่สำคัญ แนวทางการให้บริการและการพัฒนางานคุณภาพงานสวัสดิการสังคม 

                ปี พ.ศ. 2552  นักสังคมสงเคราะห์ทางการแพทย์ไทย ได้รวมตัวกัน ยื่นคำร้องขอจดทะเบียนจัดตั้งสมาคมเพื่อให้มีฐานะเป็นนิติบุคคล ต่อนายทะเบียนสมาคมประจำจังหวัดนนทบุรี  ทะเบียนเลขที่   จ.นบ  7/2552 ลงวันที่  4 พฤษภาคม  2552  ชื่อ  สมาคมนักสังคมสงเคราะห์ทางการแพทย์ไทย    โดย นางปิยะฉัตร ชื่นตระกูล นักสังคมสงเคราะห์ชำนาญการ กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ กระทรวงสาธารณสุข ผู้ก่อตั้งและเป็นนายกสมาคมฯคนแรก นางกรรณิการ์ เจียมจรัสรังษี โรงพยาบาลนครพิงค์  เป็นเลขาธิการ และนางสาวมลฤดี  จินดาอนันต์ยศ  เหรัญญิกและประชาสัมพันธ์ มีที่ทำการสมาคมฯตั้งอยู่ที่ชั้น 5 อาคาร 3 สำนักบริหารสาธารณสุขภูมิภาค สำนักงานปลัดกระทรวง กระทรวงสาธารณสุข  ถนนติวานนท์ จังหวัดนนทบุรี      เหตุผลของการจัดตั้งเป็นสมาคมฯสืบเนื่องมาจากสถานการณ์ต่างๆที่ชมรมและเครือข่ายนักสังคมสงเคราะห์ทางการแพทย์ร่วมกันดำเนินการมาอย่างต่อเนื่อง ได้เดินทางมาถึงจุดที่แสดงให้เห็นว่าการขับเคลื่อนและพัฒนาวิชาชีพสังคมสงเคราะห์ทางการแพทย์มีความจำเป็นที่ต้องจัดตั้งองค์กรกลางเพื่อเป็นหลักและเป็นพลังในการดำเนินงานเพื่อให้บรรลุเป้าหมาย   ซึ่งนับตั้งแต่ได้จดทะเบียนและได้มีการดำเนินงานาแล้ว  สมาคมนักสังคมสงเคราะห์ทางการแพทย์ไทยได้มีความเจริญเติบโต งอกงาม มีความเป็นปึกแผ่น มีสมาชิกที่รวมตัวกันอย่างเหนียวแน่น เสียสละ และได้ร่วมสร้างพลังในการขับเคลื่อนและพัฒนาวิชาชีพสังคมสงเคราะห์อย่างต่อเนื่อง ทั้งงานด้านสังคม  สงเคราะห์ทางการแพทย์  งานต่างๆด้านวิชาชีพสังคมสงเคราะห์และงานสังคมสงเคราะห์เพื่อสังคมอื่นๆ  ปัจจุบันสมาคมนักสังคมสงเคราะห์ทางการแพทย์ไทย มีสมาชิกประมาณ 500 คน

               ปี  2551-2555    นักสังคมสงเคราะห์ทางการแพทย์ทุกสังกัด ร่วมกับ คณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์และคณะสังคมสงเคราะห์และสวัสดิการสังคม มหาวิทยาลัยหัวเฉียวเฉลิมพระเกียรติ    จัดตั้งคณะทำงาน สร้างเครื่องมือการทำงาน งานตรวจวินิจฉัยและงานบำบัดทางสังคม ขึ้นเป็นครั้งแรก  เรียกว่า “แบบบันทึกผู้รับบริการสังคมสงเคราะห์ (สค.1)” และแบบรายงานสังคมสงเคราะห์ โรงพยาบาลศูนย์/โรงพยาบาลทั่วไป (สค.3) และมีการนำไปทดลองใช้กับโรงพยาบาลในสังกัดสำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข กระทรวงสาธารณสุขและโรงพยาบาลสังกัดทุกกระทรวงที่มีนักสังคมสงเคราะห์ประจำโรงพยาบาล  ต่อมา ใช้ชื่อ เครื่องมือการปฏิบัติงานสังคมสงเคราะห์ทางการแพทย์

             ปี 2538 -2553   งานบริการสังคมสงเคราะห์ทางการแพทย์ ได้ใช้โปรแกรมบันทึกข้อมูล โดยโปรแกรม FOXPRO ตั้งแต่ ปี 2538   จากความร่วมมือ ผู้พัฒนาโปรแกรม โรงพยาบาลพระนั่งเกล้านนทบุรี ต่อมา ปี 2553   ได้พัฒนาระบบการบันทึกข้อมูลออนไลน์ จากความร่วมมือจากผู้พัฒนาโปรแกรม โรงพยาบาลอำนาจเจริญ  และ ปี 2555  พัฒนาเข้าสู่ระบบการบันทึกข้อมูลออนไลน์  สำนักบริหารการสาธารณสุข  กระทรวงสาธารณสุข     

              ปี 2554   มีความพยายามผลักดันผ่านกองประกอบโรคศิลปะ กระทรวงสารณสุข ให้มีการ    กำหนดสาขาการประกอบโรคศิลปะ ในสาขาสังคมสงเคราะห์ทำงการแพทย์ แต่เนื่องจำกยังไม่ได้รับ ความเห็นชอบ จึงได้ยุติการดำเนินการไว้ก่อน

               ปี  2556      สภาวิชาชีพสังคมสงเคราะห์  มีมติและอนุมัติ ให้นักสังคมสงเคราะห์ทางการแพทย์ใช้ เครื่องมือการปฏิบัติงานสังคมสงเคราะห์ทางการแพทย์ ประกอบด้วยเครื่องมือการทำงานกับผู้ป่วยระดับเบื้องต้น ได้แก่ เครื่องมือประเมิน วินิจฉัย และจัดการทางสังคม (Social Diagnosis and Management Assessment) S.D.M.A.   เครื่องมือการทำงานกับผู้ป่วยระดับเชิงลึก ได้แก่    เครื่องมือประเมินความพร้อมของครอบครัว  (Family Assessment :F.A.)  เครื่องมือคัดกรองและประเมินผลการบำบัดทางสังคม    (Social Therapy Assessment : S.T.A. )  เครื่องมือแบบประเมินทักษะพื้นฐานในการทำงานและทักษะการปรับตัวทางสังคม(Social skill Assessment : S.S.A.) และเครื่องมือประเมินการดูแลสุขภาพจิตตนเอง    (Mental Self Care Assessment: M.S.C.A.)  และ คณะทำงานพัฒนางานสังคมสงเคราะห์ โรงพยาบาลศูนย์/โรงพยาบาลทั่วไป และสำนักบริหารการสาธารณสุข กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ จัดทำโปรแกรมบันทึกข้อมูลการบริการแบบออนไลน์

              ปี 2556  นักสังคมสงเคราะห์ทางการแพทย์ ได้จัดทำร่างหนังสือ แนวทางแผนพัฒนาระบบบริการสุขภาพ ( Service  Plan)  ในส่วนภูมิภาค สังกัดสำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุขกระทรวงสาธารณสุข นักสังคมสงเคราะห์ทางการแพทย์ สำนักบริหารการสาธารณสุข    สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข   โดยมีนายแพทย์ไชยนันท์ ทยาวิวัฒน์ สาธารณสุขนิเทศก์ สนับสนุนและเป็นผู้วางรูปแบบ การทำงานด้านสวัสดิการสังคม โรงพยาบาลศูนย์/โรงพยาบาลทั่วไป ตลอดจนการพัฒนาวิชาชีพสังคมสงเคราะห์ให้น้องๆ  รุ่นหลัง ได้คำเนินรอยตาม รวมทั้งเป็นวิทยาจารย์ให้ความรู้ เสริมความคิด ให้เกิดการเรียนรู้ ตลอดจน เพื่อให้นักสังคมสงเคราะห์ทางการแพทย์ทุกคนได้ใช้เป็นกรอบในการดำเนินงาน ใช้เป็นเครื่องมือที่จะเชื่อมงานสังคมสงเคราะห์เข้ากับงานอื่น ๆ  ในลักษณะงานที่เป็นทีมงาน มีบรูณการองค์รวม ให้เกิดความชัดเจนในหน้าที่รับผิดชอบ ใช้เป็นกลไกความร่วมมือเพื่อให้งานมีประสิทธิภาพ เกิดประโยชน์สูงสุดต่อประชาชน

             ปี 2557 คณะทำงานพัฒนาสังคมสงเคราะห์ รพศ/รพท  และสมาคมนักสังคมสงเคราะห์ทางการแพทย์ไทย ได้เข้าร่วมการจัดประชุมเชิงปฎิบัติการ กับวิชาชีพ 17  สายงานในกระทรวงสาธารณสุข  วิเคราะห์อัตรากำลัง  วิชาชีพสังคมสงเคราะห์ สาขาทางการแพทย์  มีวิธีการคิดวิเคราะห์อัตรากำลัง  2 แบบ ได้แก่  การกำหนดอัตรากำลัง ตามบริการและภาระงาน  (SERVICES  BASE)   การกำหนดกรอบอัตรากำลัง ของนักสังคมสงเคราะห์ โรงพยาบาลศูนย์/โรงพยาบาลทั่วไป ได้จัดระดับการบริการ ออกเป็น  3 ระดับ ได้แก่ ระดับปฐมภูมิ บริการระดับทุติยภูมิ  และ บริการระดับตติยภูมิ ในแต่ระดับได้กำหนดบทบาทหน้าที่บุคลากร รวมทั้งเครื่องมือที่จำเป็นในการปฏิบัติงาน ที่ผ่านการรับรองจาก สภาวิชาชีพสังคมสงเคราะห์  สัดส่วนการให้บริการกลุ่มเป้าหมายเฉพาะ และการบริการตาม SERVICES BASE  มีการกำหนด แนวทาง ระดับปฐมภูมิ  F๓ F๒ F๑  M๒  ระดับทุติยภูมิ ระดับตติยภูมิ A S M๑  และ การกำหนดอัตรากำลัง ตามพื้นที่และ  ประชากร (AREA AND POPULATION BASE)  

                15 พฤศจิกายน 2558 กระทรวงสาธารณสุข เห็นชอบให้มีการเปลี่ยนโครงสร้างหน่วยงานในราชการบริหารส่วน จากสภาพปัญหาสาธารณสุขและปัญหาสังคม ซึ่งชี้ให้เห็นว่าแนวโน้มของการสาธารณสุขประเทศไทยต้องปรับบทบาททันกับสภาพปัญหา เพื่อรองรับกลุ่มบุคคลที่เป็นเป้าหมาย ของการพัฒนาคุณภาพชีวิตทั้งในชนบทและในเมือง รวมทั้งการพัฒนางานให้ผลถึงการป้องกันการขยายตัวของปัญหาในอนาคต ดังนั้น   จึงมีการปรับเปลี่ยนโครงสร้างการทำงานใหม่ ภายใต้นโยบายวิสัยทัศน์ และพันธกิจของกระทรวงสาธารณสุข ดังนี้

             วิสัยทัศน์   “กระทรวงสาธารณสุข  เป็นองค์กรหลักด้านสุขภาพที่รวมพลังสังคมเพื่อประชาชนสุขภาพดี”

           พันธกิจ      “พัฒนาและอภิบาล  ระบบสุขภาพอย่างมีส่วนร่วมและยั่งยืน”

           เป้าหมาย     “ประชาชนสุขภาพดี  เจ้าหน้าที่มีความสุข    ระบบสุขภาพยั่งยืน”           

                โรงพยาบาลศูนย์ / โรงพยาบาลทั่วไป กำหนดให้มี  6 กลุม่ภารกิจ  ได้แก่   กลุ่มภารกิจด้านอานวยการ   กลุ่มภารกิจด้านบริการปฐมภูมิ   กลุ่มภารกิจด้านพัฒนาระบบบริการและสนับสนุนบริการสุขภาพ กลุ่มภารกิจด้านบริการทุติยภูมิและตติยภูมิ กลุ่มภารกิจด้านการพยาบาล   กลุ่มภารกิจด้านผลิตบุคลากรทางการแพทย์  การเปลี่ยนโครงสร้างใหม่ดังกล่าว กลุ่มภารกิจกลุ่มภารกิจด้านบริการทุติยภูมิและตติยภูมิ  มี 19 กลุ่มงาน   มี 19 กลุ่มงาน ดังแผนภูมิ ที่ 1               

                การปรับเปลี่ยนโครงสร้างกลุ่มงานสวัสดิการสังคมและประกันสุขภาพในโรงพยาบาลศูนย์/โรงพยาบาลทั่วไป เป็นกลุ่มงานสังคมสงเคราะห์ ภายใต้กลุ่มภารกิจบริการด้านทุติยภูมิและตติยภูมิและมีการกำหนดภารกิจ บทบาทหน้าที่ ของนักสังคมสงเคราะห์ ซึ่งเปลี่ยนแปลงจากเดิมอย่างมาก    เพื่อการดำเนินงานให้สอดคล้อง กับวิสัยทัศน์และพันธกิจดังกล่าว กลุ่มงานสังคมสงเคราะห์ โรงพยาบาลศูนย์/โรงพยาบาลทั่วไปซึ่งอยู่ภายใต้ความรับผิดชอบของ สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข  กำหนดวิสัยทัศน์  พันธกิจ   โครงสร้างใหม่อยู่ภายใต้การทำงานของกลุ่มภารกิจด้านบริการทุติยภูมิและตติยภูมิ   มีโครงสร้างการทำงาน  หน้าที่และความรับผิดชอบหลัก ( Production  line )  ดังนี้ 

วิสัยทัศน์

         ภายในปี 2563    กลุ่มงานสังคมสงเคราะห์ โรงพยาบาลศูนย์/โรงพยาบาลทั่วไป จะเป็นองค์กรที่ให้บริการสังคมสงเคราะห์ทางการแพทย์ ภายใต้มาตรฐานเดียวกัน

ปรัชญาในการดำเนินงาน

การดำเนินงานเพื่อให้ประชาชนช่วยตนเองได้บนพื้นฐานของความเชื่อมั่นในความเป็นมนุษย์   “ช่วยเขาให้ช่วยเหลือตนเองได้.”  ( Help them  to help  themself )         

ค่านิยมการทำงานสังคมสงเคราะห์ทางการแพทย์

➢    ค่านิยม (Core Value)  : Medical Social Work  :  MSW

                          M = Morality : การบริการด้วยคุณธรรมและจริยธรรม ยึดหลักธรรมาภิบาล

    S = S (Service Mind) : การบริการด้วยหัวใจความเป็นมนุษย์มีพฤติกรรมบริการที่ดี

                                 S (Standard) : ปฏิบัติงานตามมาตรฐานวิชาชีพ

                                  S ( Social Responsibility) : มีความรับผิดชอบต่อสังคม

                         W = Work with : W (Work with not work for) การบริการแบบมีส่วนร่วมกับผู้ป่วยและครอบครัว ทีมสหวิชาชีพ เครือข่าย

                           Moral Intelligence หมายถึง ทุกคนในองค์กรยึดมั่นในหลักความเป็นธรรม และเสมอภาค มีคุณธรรม ทํางานด้วยความสุจริต ยึดมั่นในประโยชน์ส่วนรวมมากกว่าส่วนตนตามศีลธรรมอันดี มีจิตสาธารณะ

                         Service Mind  หลักการการให้บริการที่ดีต่อทุกคนที่มาใช้บริการ คือ ปัจจัยความสำเร็จ โดยปลูกฝังให้ทุกคนในองค์การมีหัวใจบริการ (Service – Mind) เป็นหลักยึดสำหรับสร้างความตระหนักให้เกิดขึ้นในจิตใจของ       ผู้ให้บริการทุกคน  คำว่า หัวใจบริการ หมายถึง การอำนวยความสะดวก การช่วยเหลือ การให้ความกระจ่าง การสนับสนุน การเร่งรัดการทำงานตามสายงาน และความกระตือรือร้นต่อการให้บริการคนอื่น รวมทั้งการยิ้มแย้มแจ่มใส ให้การต้อนรับด้วยไมตรีจิตที่ดีต่อผู้อื่น ต้องการให้ผู้อื่นประสบความสำเร็จในสิ่งที่เขาต้องการ การที่บุคคลมีหัวใจบริการดังกล่าวข้างต้น ช่วยให้เกิดผลดีต่อคนอื่น ต่อตนเอง และต่องานที่ทำ ที่ว่าเกิดผลดีต่อคนอื่นในการให้บริการ คือ ผู้รับบริการมีความพึงพอใจ เกิดความรู้ที่ดีต่อผู้ให้บริการ ผู้มาติดต่อขอรับบริการ เมื่อผลลัพธ์เกิดขึ้นเร็ว และด้วยน้ำใจบริการที่ดี จะสร้างสัมพันธ์ที่ดีซึ่งกันและกัน ระหว่างผู้ให้บริการและผู้รับบริการ ผู้รับบริการจะเกิดความประทับใจ และยินดีที่จะกลับมาติดต่อและมารับบริการอีก และยังจะนำผลที่เกิดขึ้น หรือความประทับใจที่มีไปบอกต่อเป็นการช่วยประชาสัมพันธ์อีกทางหนึ่ง

                        work with, not work for นั้นมีความหมายที่ว่า การสังคมสงเคราะห์นั้นเป็นการทำงานร่วมกันระหว่างนักสังคมสงเคราะห์กับผู้ที่ประสบปัญหาและสหสาวิชาชีพ เป็นการช่วยเหลือในฐานะเพื่อนมนุษย์อย่างเท่าเทียม

หน้าที่และความรับผิดชอบของกลุ่มงานสังคมสงเคราะห์  ประกอบด้วย

.1 การบริการสังคมสงเคราะห์ทางการแพทย์ ประจำแผนกผู้ป่วยนอก /ผู้ป่วยใน

.2 การบริการคลินิกศูนย์พึ่งได้  งานให้บริการช่วยเหลือเด็ก สตรีและบุคคลในครอบครัวที่ถูกกระทำรุนแรง และผู้หญิงที่ตั้งครรภ์ไม่พร้อม

3 การบริการสังคมสงเคราะห์ทางการแพทย์ ประจำแผนกผู้ป่วยนอกคลินิกพิเศษ /กลุ่มเป้าหมายเฉพาะ       

.4 การบริการสังคมสงเคราะห์ชุมชนและครอบครัว

.5  การจัดการทรัพยากรทางสังคมและสร้างการมีส่วนร่วมของเครือข่าย

.6  การจัดการกองทุนและมูลนิธิ ช่วยเหลือผู้ป่วยยากจนและผู้ด้อยโอกาส

.7. งานวิชาการและงานการให้คำปรึกษาทางสังคมสงเคราะห์  งานวิชาการและงานการ             

งานสังคมสงเคราะห์ทางการแพทย์ ===

     งานสังคมสงเคราะห์ทางการแพทย์ เป็นสาขาหนึ่งของสังคมสงเคราะห์ ทำงานร่วมกับทีมสหวิชาชีพในโรงพยบาล ผู้ที่ทำหน้าที่ดังกล่าวถูกเรียกว่า นักสังคมสงเคราะห์ทางการแพทย์ หรือ           นักสังคมสงเคราะห์ทางคลินิก ซึ่งเป็นผู้ที่สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรี สาชาสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ หรือสาขาที่สภาวิชาชีพสังคมสงเคราะห์รับรอง ทำหน้าที่ คัดกรอง เฝ้าระวัง ประเมินวินิจฉัย บำบัด เยียวยา ให้การปรึกษา ให้คำแนะนำ ฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ป่วยที่ประสบปัญหาสังคม อารมณ์ จิตใจ พฤติกรรม ปัญหาครอบครัว ปัญหาการดำรงชีวิต ปัญหาการเงิน และปัญหาสังคมอื่นๆ        ทั้งนี้ร่วมวิเคราะห์สาเหตุ ปัจจัยพฤติกรรม สิ่งแวล้อม และความเสี่ยงที่ทำให้เกิดโรคที่ทำให้เกิดการบาดเจ็บ ร่วมกับสหวิชาชีพในและนอกโรงพยาบาล มีการพัฒนาศักยภาพของบุคคลที่มีความเสื่อมหรือความบกพร่องทางสังคมให้กลับไปทำหน้าที่อยู่ในสังคมได้  มีการเสริมพลังให้ผู้ป่วย ครอบครัวและผู้ดูแล มีศักยภาพในการดูแลผู้ป่วย ทำหน้าที่ประสานและการจัดการทรัพยากร ตลอดจนพิทักษ์สิทธิประโยชน์ให้กับผู้ป่วยและครอบครัว เตรียมครอบครัว ชุมชนและสิ่งแวดล้อม เพื่อให้การช่วยเหลือผู้ป่วยอย่างเหมาะสม ทำงานภายใต้การกำกับดูแลของสภาวิชาชีพสังคมสงเคราะห์    ตามพรบ.วิชาชีพสังคมสงเคราะห์ พ.ศ. 2556 โดยใช้เครื่องมือทางสังคมสงเคราะห์ทางการแพทย์ ที่รับรองโดยสภาวิชาชีพสังคมสงเคราะห์ได้แก่ เครื่องมือประเมินและวินิจฉัยทางสังคม(สค.)  เครื่องมือประเมินทักษะพื้นฐานการทำงานและทักษะทางสังคม แบบประเมินความพร้อมครอบครัวในการดูแลผู้ป่วย แบบประเมินการดูแลสุขภาพจิต โดยใช้วิธีการสังคมสงเคราะห์เฉพาะราย กลุ่ม ชุมชน และกระบวนการ ตามมาตรฐานวิชาชีพกำหนด