ประวัติ ของ สาธารณรัฐกาแลกติก

การก่อรูปแบบ

สาธารณรัฐเกิดจากการลงนามในรัฐธรรมนูญกาแลกติกเมื่อ 25,000 ปีก่อนยุทธการยาวิน ในช่วงสงครามในการรวมกาแลกซี่ ในเวลานั้น มนุษย์และดูรอส ได้สลับขั้วเทคโนโลยีที่ใช้พลังของราคาทา จึงได้ประดิษฐ์ไฮเปอร์ไดรฟ์ขึ้น ทำให้คอรัสซังกลายมาเป็นเมืองหลวงของสาธารณรัฐกาแลกติกและยังคงเป็นเช่นนั้นไปอีก 25,000 ปี สาธารณรัฐถูกสร้างขึ้นโดยผู้ก่อตั้งแกนหลัก

ไม่นานหลังจากการก่อรูปแบบสาธารณรัฐ เส้นทางการค้าเพอร์ลีเมี่ยนก็ถูกสร้างขึ้นในแผนที่ เชื่อมต่อคอรัสซังสู่ออสซัส และนำอัศวินเจไดเข้าสู่สาธารณรัฐ หลายพันปีต่อมา เส้นทางคอเรลเลี่ยนก็ถูกสร้างขึ้น เชื่อมต่อคอรัสซังกับคอเรลเลียและนอกเหนือจากนั้น เงินจำนวนมากจากเส้นทางการค้าทั้งสองทำให้มันเป็นที่รู้จักกันว่าเดอะ สไลซ์ (The Slice) ด้วยการขยายออกของไฮเปอร์สเปซทางด้านตะวันตกของคอรัสซัง มีสิ่งผิดปกติเกินกว่าที่เทคโนโลยีจะก้าวข้ามไปได้ รัฐบาลจึงได้หันไปขยายเขตทางด้านตะวันออกแทน แกนของกาแลกซี่หรือคอร์เวิร์ลด์ (Core Worlds) บางส่วนของเดอะ สไลซ์เป็นที่รู้จักในชื่อหัวลูกศรหรือแอร์โรว์เฮด (Arrowhead) และไม่นาน สาธารณรัฐก็ขยายจนเป็นอาณานิคม

แม้ว่าประวัติศาสตร์มักจะบอกว่าสาธารณรัฐเป็นสาธารณรัฐที่สงบสุข ความขัดแย้งมากมายก็สามารถเห็นได้ อย่าง ร้อยปีแห่งความมืดมน, สงครามซิธเก่า, หายนะวัลทาร์, สงครามแมนดาลอเรี่ยน, สงครามเจไดกลางเมือง, สงครามซิธใหม่, และสงครามโคลน—ได้เกิดขึ้นตลอดประวัติศาสตร์ของมัน

ความเป็นมาในช่วงแรก

สัญลักษณ์ของสาธารณรัฐในอดีต ก่อนที่จะถูกแทนที่ด้วยสัญลักษณ์เบนดู

ตอนแรก รัฐบาลบนคอรัสซังต้องการการขยายเขตที่ไม่รวดเร็ว ถึงแม้ว่าจะสนับสนุนการสำรวจไฮเปอร์สเปซก็ตาม อย่างไรก็ตาม ตรงกันข้ามกับสิ่งที่รัฐบาลต้องการ สมาชิกของสาธารณรัฐได้สร้างความเจริญให้ต้นเองในหนึ่งพันปีแรก เหตุผลหลักก็มาจากการต้องการที่จะป้องกันตัวเองจากจักรวรรดิฮัทท์

เป็นนานหลายปี ที่อัศวินเจไดและกองทัพบกและทัพเรือโบราณของสาธารณรัฐทำการป้องกันความรุนแรง ในช่วงประมาณ 24,500ปีก่อนยุทธการยาวิน การแตกแยกครั้งใหญ่ครั้งแรกก็เกิดขึ้น หลังจากที่กองทัพแห่งเลทโทว์ได้ก่อตั้งขึ้นโดยเจไดผู้ที่เชื่อว่าพลังที่แท้จริงไม่ได้มาจากการนั่งสมาธิอย่างที่อาจารย์เจไดทั่วไปสอน แต่มาจากอารมณ์ ความตึงเครียดระหว่างเจไดและเจไดนอกรีต นำโดยเซนดอร์ และหลังจากที่เขาตาย อาร์เดน ลีนก็รับช่วงต่อแทน

24,000 ปีก่อนยุทธการยาวิน สาธารณรัฐได้เข้าสู่สงครามกับสหภาพคุณธรรมแห่งดีเซฟโรและทิออน สงครามเกิดขึ้นตามเส้นทางการค้าเพอร์ลีเมี่ยน และเมืองหลวงทั้งของคอรัสซังและดีเซฟโรก็ได้รับความเสียหายจากการระเบิดแรงดัน ท้ายสุด สาธารณรัฐชนะสงครามโดยการปลุกเร้าให้พวกฮัทท์ต่อสู้กับชาวทิออน ภายในหนึ่งศตวรรษ กลุ่มทิออนส่วนใหญ่ได้สวามิภักดิ์ต่อคอรัสซัง ยกเว้นดีเซฟโร ซึ่งยังคงเลือกที่จะอยู่อย่างอิสระ

ในช่วงที่การค้ารุ่งเรือง ประมาณ 20,000-17,000 ปีก่อนยุทธการยาวิน สาธารณรัฐขยายเขตออกไปทางตะวันออกข้ามกาแลกซี่ แม้ว่าจะเกิดสิ่งนี้ เดอะ สไลซ์ยังคงเป็นใจกลางของอวกาศที่สามารถเดินยานได้สะดวก ท้ายสุด สาธารณรัฐได้ขยายเขตไปทางเหนือของกาแลกติกและทางชายแดนทางใต้ของเดอะ สไลซ์ ถึงแม้ว่าพื้นที่ส่วนใหญ่ของกาแลกซี่ยังไม่เป็นที่รู้จักนัก ยกเว้นดาวด้านหน้าอย่างออร์ด เมนเทล (12,000-8,000 ปีกอ่นยุทธการยาวิน) อวกาศทางด้านตะวันตกของคอรัสซังยังคงไม่ถูกสำรวจ เช่นเดียวกับที่เส้นทางการค้าเพอร์ลีเมี่ยนและคอเรลเลียยังไม่ถูกค้นพบในทางนั้น ที่แย่กว่านั้น กระบวนการก็มีข้อจำกัดเนื่องจากอันตรายที่อาจเกิดขึ้นจากการโจนไป 1-2 ปีแสงแล้วอาจโผล่ไปในที่ที่ไม่รู้จักของไฮเปอร์สเปซที่ต่างไปจากปกติ ในสมัยนี้ เขตขยายก็ถูกสร้างขึ้น อย่างไรก็ตาม เขตนี้ได้รับความเสียหายอย่างหนักจากผลของอัลซาคันที่พยายามฉวยโอกาสเข้าควบคุมสาธารณรัฐจากคอรัสซัง มันเป็นผลของสงครามอัลซาคันที่ 17 ที่กินเวลานานตั้งแต่ 17,000-3,000 ปีก่อนยุทธการ อย่างไรก็ดี การต่อสู้ส่วนใหญ่เกิดขึ้นในช่วงระหว่างที่พวกเขาครอบครองเขตขยาย มากกว่าในส่วนแกนกลางเสียอีก ไม่จำเป็นต้องบอกผลของความขัดแย้งต่างๆ คอรัสซังก็ชนะในทุกการต่อสู้

ในช่วงสมัยนี้ สงครามอาร์คาเนี่ยนครั้งแรกก็เกิดขึ้นด้วย นักพันธุ์ศาสตร์ชาวอาร์คาเนี่ยนยังได้เริ่มการทดลองพันธุกรรมของเผ่าพันธุ์อื่นอีกด้วย ที่เป็นที่รู้จักที่สุดก็คงเป็นการนำเซ็กซ์โต้มาจากทรอยเคน และเปลี่ยนพวกมันให้กลายเป็นเผ่าพันธุ์ใหม่ที่มีชื่อว่าเควอร์เมี่ยน

15,000 ปีก่อนยุทธการยาวิน หลังจากความหายนะจากติอต่อครั้งแรก คอรัสซังถูกจู่โจมโดยมังกรอวกาศในช่วงความขัดแย้งกับดุยนวงวูอิน ความขัดแย้งนี้จบลงอย่างสันติโดยการแก้ไขจากสมุหนายกฟิลลอเรียนและนักปราชญ์ชาวมังกรอวกาศชื่อบอร์ซมัทโอ ผู้ซึ่งได้ร่วมมือกันก่อตั้งมหาวิทยาลัยคอรัสซัง ในบางช่วงของสมุยจนถึง 12,000 ปีก่อนยุทธการยาวิน พิพิธภัณฑ์กาแลกติกก็ถูกสร้างขึ้นบนคอรัสซัง

หอประชุมวุฒิสมาชิก

ในประมาณช่วง 12,000 ปีก่อนยุทธการยาวิน คอนทิสเปกซ์ได้เข้าเป็นสมุหนายก เขาและผู้สืบทอดของเขาเป็นลัทธินับถือพระเจ้า ซึ่งจะครองสาธารณรัฐในอีก 1,000 ปีต่อไป สมุหนายกที่คลั่งไคล้เหล่านี้ได้อนุมัตินักรบศาสนาขึ้นมาเพื่อต่อกรกับเผ่าต่างดาวในขอบนอกของกาแลกซี่ หลังช่วง 11,000 ปีก่อนยุทธการยาวิน ลัทธิถูกกำจัดด้วยความรุนแรง ความตึงเครียดจากสงครามศาสนาได้สร้างความแตกแยกระหว่างคอร์เวิร์ลด์และขอบนอกมากขึ้น ซึ่งจักรพรรดิพัลพาทีนใช้มันเพื่อประโยชน์ในยุคของเขาอีกพันปีต่อมาประมาณ 9,000 ปีก่อนยุทธการยาวิน โบลตัส เดอะ ฮัทท์ได้เป็นสมุหนายกและครอบครองสาธารณรัฐกาแลกติกไปอีก 275 ปีในสมัยไรนิทัส ไม่เหมือนฮัทท์อื่นๆ โบลตัสนั้นมีชื่อเสียงและเป็นแค่ผู้ปกครอง ปฏิทินพื้นฐานของกาแลกติกได้ถูกแก้ไขประมาณ 7,308 ปีก่อนยุทธการยาวินเป็นอย่างน้อย

7,003 ปี ก่อนยุทธการยาวิน การแตกแยกครั้งใหญ่ครั้งที่สองได้เกิดขึ้นเมื่อกลุ่มของเจไดที่ร่วงโรยได้ค้นพบเทคนิคในการใช้พลังเพื่อสร้างรูปแบบชีวิตที่แตกต่างออกไป สิ่งนี้ได้เริ่มร้อยปีแห่งความมืดมน เป็นศตวรรษที่ยาวนาน ซึ่งสามารถเห็นการสร้างสรรค์สัตว์ร้ายขึ้นมา ที่รู้จักกันมากที่สุดก็คือสัตว์ประเภทงูอย่างลีเวียแธน ซึ่งจะดูดกลืนพลังงานชีวิต ยุทธการคอร์บอสในช่วง 6,900 ปีก่อนยุทธการยาวิน เจไดได้บดขยี้กบฏและเนรเทศเจไดบางส่วนจากอวกาศที่รู้จัก อย่างไรก็ตาม เจไดที่ร่วงโรยได้ค้นพบไซออสท์ โลกที่โดดเดี่ยวที่มีเผ่าพันธุ์ที่เกี่ยวข้องกับพลังอาศัยอยู่ เผ่าซิธ

ด้วยการใช้การฝึกฝนในพลัง เจไดที่หลงผิดได้ทำให้พวกซิธแปลกใจและยกตัวเองขึ้นเป็นเสมือนพระเจ้าบนดาวคอริบานใกล้เคียง กลายมาเป็นผู้ปกครองชาวซิธ หลายปีถัดมา และเจไดที่หลงผิดและชาวซิธได้เป็นหนึ่งเดียวกัน คำว่า"ซิธ"กลายมามีความหมายที่ไม่ใช่แค่ผู้คนที่อยู่บนคอริบานและไซออสท แต่ยังหมายถึงเจไดที่หลงผิดผู้เป็นนายของพวกเขาอีกด้วย

คอรัสซัง เมืองหลวงของกาแลกติก ถูกโจมตีในช่วงสงครามไฮเปอร์สเปซครั้งใหญ่

ในช่วง 5,000 ปีก่อนยุทธการยาวิน เจไดและจักรวรรดิซิธได้เข้าร่วมรบกันในสงครามไฮเปอร์สเปซครั้งใหญ่ หลายดาวได้รับแผลเป็นตลอดกาลในสงครามครั้งนี้ แต่เจไดก็สามารถขับไล่ผู้รุกรานออกไปได้ หลังจากนั้น สาธารณรัฐได้มอบดินแดนให้เจไดบนฟอร์ซเนกซัส ภูเขาที่เป็นที่บูชาบนคอรัสซัง

ในช่วง 4,250 ปีก่อนยุทธการยาวิน การแตกแยกครั้งใหญ่ครั้งที่สามได้เกิดขึ้น ซึ่งมีการต่อสู้บนคอรัสซัง เจไดมืดที่รอดชีวิตถูกบังคับให้ต้องหนีไปจากระบบวัลทาร์ ที่ซึ่งพวกเขาได้ค้นพบเทคโนโลยีโบราณที่ระบุว่าโลกของระบบนั้นมีสิ่งก่อสร้าง อาจเป็นการสร้างสรรค์ของเซเลสเชียลที่ลึกลับ ที่ถูกสร้างในระบบคอเรลเลี่ยน เจไดมืดได้เข้าครอบครองเครื่องจักร รวมทั้งกังหันจักรวาล แต่ก็ไม่สามารถควบคุมมันเอาไว้ได้ และไม่นานก็ทำลายระบบทั้งระบบและทุกอย่างข้างในในช่วงการเปลี่ยนแปลงวัลทาร์ ในช่วง 4,019 ปีก่อนยุทธการยาวิน อาจารย์เจได 4 คน (อาจารย์นักรบ 2 คนและอาจารย์ผู้วิเศษ 2 คน) ได้ก่อสร้างวิหารเจไดบนดินแดนฟอร์ซเนกซัสบนคอรัสซัง ซึ่งจะตั้งตระหง่านไปอีก 4 พันปี

สงครามซิธเก่า

ดูบทความหลักที่: สงครามซิธเก่า

สาธารณรัฐคือสัตว์ร้ายที่นิ่งเฉยซึ่งได้ฆ่าผู้คนของมันมาหลายปีก่อนที่สงครามจะเริ่มต้น— แคนเดอรัส ออร์โด

4,015 ปีก่อนยุทธการยาวิน ได้เกิดการปฏิวัติครั้งใหญ่โดยดรอยด์บนคอรัสซัง นำโดยเอชเค-01 ผู้ซึ่งท้ายสุดก็ต้องพ่ายแพ้ให้กับอาคา เจธและเจได ในการรบครั้งนั้น อาร์คา เจธได้ค้นพบเทคนิคในการทำให้เครื่องจักรหยุดทำงานด้วยการใช้พลัง

หลังจากการรบครั้งนั้น สงครามซิธเก่าก็ตามมาในช่วง 4,000 ปีก่อนยุทธการยาวิน ซึ่งเกือบทำลายสาธารณรัฐ ในสงครามซิธครั้งใหญ่ (4,000 - 3,996 ปีก่อนยุทธการยาวิน) ซิธลอร์ดเอกซาร์ คุนและอูลิค เคล-โดรม่า พร้อมกับพันธมิตรชาวคราธและแมนดาลอเรี่ยนของพวกเขา ได้ทำสงครามกับสาธารณรัฐ ได้สร้างการทำลายล้างมากมายจนกระทั่งพวกเขาพ่ายแพ้ต่อกองกำลังของสาธารณรัฐและเจได หลังจากนั้นต่อมา การล่าครั้งใหญ่ (3,995 - 3,993 ปีก่อนยุทธการยาวิน) และการเก็บกวาดของทั้งเก้าตระกูลก็เกิดขึ้น

กองยานของสาธารณรัฐและแมนดาลอเรี่ยนปะทะกันในยุทธการแวนควอ

ต่อมาสงครามแมนดาลอเรี่ยนก็เกิดขึ้น (3,996 - 3,960 ปีก่อนยุทธการยาวิน) เป็นการต่อสู้ระหว่างชาวแมนดาลอเรี่ยนที่หวังจะขยายอณานิคมออกไปไกลถึงเขตรอบนอกจักรวาลกับสาธารณรัฐ สงครามแมนดาลอเรี่ยนเป็นจุดเริ่มต้นของสงครามกลางเมืองเจได (3,959 - 3,956 ปีก่อนยุทธการยาวิน) ที่สร้างความเสียหายมากมาย สงครามกลางเมืองเจไดหรือรู้จักกันในอีกชื่อหนึ่งว่าสงครามแห่งเตาหลอมดวงดาว เป็นการต่อสู้ระหว่างสาธารณรัฐและจักรวรรดิซิธภายใต้การบัญชาของดาร์ธ เรแวนและดาร์ธ มาลัค เป็นไปได้ว่ามันคือการทำลายล้างที่รุนแรงที่สุดในยุคนั้น ดาวหลายดวงรวมทั้ง ทาริส, แดนทูอิน, และทีลอส ถูกทำลายโดยกองยานของซิธ 3,900 ปีก่อนยุทธการยาวิน ราชินีเอลซินอร์ เดน ทาเซียแห่งโลกใจกลางชื่อว่ากริซมอลท์ได้สนับสนุนการขยายกองยานที่มียานสามลำ—เบเนฟิเซนท์ทาเซีย, คอนสสแตนท์, และท่านแม่วิม่า กองยานนี้นำโดยนักสำรวจของสาธารณรัฐชื่อคไวลาอัน และได้ค้นพบดาวนาบู

ตั้งแต่ 3,970 - 3,670 ปีก่อนยุทธการยาวิน ความแตกแยกแห่งคานซ์เกิดขึ้นในเขตคานซ์ ในช่วงเวลานั้นเอง ผู้ว่าราชการไมเรียลแห่งอาร์กาซด้าแยกตัวออกจากสาธารณรัฐและก่อตั้งกองทหารขึ้นมาในเขตคานซ์ ในช่วงเวลานั้น กองกำลังทางทหารของเธอได้เข้าบุกดาวที่ต่อต้านอำนาจของเธอในเขตคานซ์ รวมทั้งลอร์ด เธอมักใช้คนที่อาศัยบนดาวนั้นมาเป็นทาส ชาวลอร์ดเดียน

การใช้แรงงานทาสชาวลอร์ดเดียนถูกสั่งห้ามให้สื่อสารกัน ผลก็คือ พวกเขาถูกบังคับให้พัฒนาระบบการแสดงท่าทาง, ท่าทางสีหน้า, และท่าทางร่างกายเพื่อพูดคุยกัน การสื่อสารโดยไม่พูดนี้ยังคงถูกใช้ไปอีกสี่พันปีหลังจากนั้น หลังจากสามศตวรรษและสูญเสียชีวิตไปกว่าห้าพันล้านชีวิต รวมทั้งชาวลอร์ดเดียนประมาณ 500 ล้านคน ความแตกแยกแห่งคานซ์จบลงเมื่อเจไดและสาธารณรัฐโค่นกองทหารเหล่านั้นลง

สัญลักษณ์ของสาธารณรัฐในช่วงการกลับมาของจักรวรรดิซิธ

ประมาณ 3,756 ปีก่อนยุทธการยาวิน จักรวรรดิซิธได้กลับมาทำสงครามกับสาธารณรัฐอีกครั้งในมหาสงคราม สงครามได้ทำให้สาธารณรัฐอ่อนแอลง ผลที่ตามมาของสงคราม ซึ่งทิ้งให้สาธารณรัฐอยู่ในตำแหน่งที่ไม่น่าพอใจ ระบบดาวหลายดวงเริ่มแยกตัวออกจากสาธารณรัฐ สาธารณรัฐเริ่มเกิดวิกฤติทางเสบียงและความวุ่นวายตามท้องถนนที่ยากจะแก้ไขบนคอรัสซัง วุฒิสภากลายเป็นอัมพาต ข้อตกลงแห่งคอรัสซังยังบังคับให้สาธารณรัฐต้องทิ้งพันธมิตรที่ร่วมทางกันมานับพันปีไป รวมทั้งชาวโบธาน สับสนจากความวุ่นวาย วุฒิสภาที่ล่มสลายโทษสงครามและปัญหาหลักของพวกเขาไปยังเจได ความเกลียดชังในนิกายทำให้เหล่าเจไดออกเดินทางจากคอรัสซังและหาสถานที่ใหม่คือทีธอน หลังจากมหาสงคราม สงครามเย็นก็เริ่มขึ้น

3,000 ปีก่อนยุทธการยาวิน ความขัดแย้งแห่งอัลซาคันครั้งที่ 17 จบลงด้วยการพ่ายแพ้ของอัลซาคัน และทำให้เกิดการสร้างยานเดรดนอธ อินวินซิเบิล-คลาสในกองยานของสาธารณรัฐขึ้นมา นอกจากนั้น นักสำรวจยังค้นพบเส้นทางไฮเดียน ซึ่งได้ขยายทิศเหนือและทิศใต้ของกาแลกซี่ทั้งหมด นี่ทำให้สาธารณรัฐขยายผ่านเดอะ สไลซ์เข้าไปในโลกส่วนกลางและส่วนนอกได้ และยังนำไปสู้การค้นพบเส้นทางไฮเปอร์สเปซอีกมากมาย รวมทั้งเส้นทางการค้าคอเรลเรียน ดังนั้นการขยายอาณาเขตครั้งที่สองก็เริ่มขึ้น


สงครามซิธใหม่

ดูบทความหลักที่: สงครามซิธใหม่

ข้าจะไม่ยอมให้สาธารณรัฐที่ยืนหยัดมานับพันปีแบ่งแยกเป็นสอง— พัลพาทีน

ภารกิจที่รูซานทำให้ภัยคุกคมจากซิธจบลง

2,000 ปีก่อนยุทธการยาวิน สาธารณรัฐต้องเผชิญกับภัยจากซิธอีกครั้ง ผู้ซึ่งได้ก่อตั้งจักรวรรดิซิธขึ้นมา ซึ่งใหญ่โตมากกว่าจักรวรรดิก่อนๆ มากมายนัก ในช่วงเวลานี้ เจไดได้เป็นแนวหน้าในสงคราม สงครามครั้งนี้แปรผันไปมาจนกระทั่งเกิดยุทธการมิซร่าในช่วง 1,466 ปีก่อนยุทธการยาวิน ซึ่งเป็นชัยชนะครั้งใหญ่ที่สุดของซิธในสงคราม ความสูญเสียของสาธารณรัฐอย่างใหญ่หลวงทำให้ยุคมืดของมันเริ่มขึ้น ด้วยสถานการณ์ที่ไม่สงบและเศรษฐกิจที่ทรุดตัวลงได้แพร่กระจายไปทั่ว

ตัวสาธารณรัฐเองก็เล็กลงกลายเป็นรัฐเล็กๆ ล้อมรอบโลกส่วนกลาง ขณะที่จักรวรรดิซิธครอบครองส่วนสำคัญที่เหลือของกาแลกซี่ เจไดได้มีอำนาจสูงสุด ได้เข้าควบคุมส่วนที่เหลือของสาธารณรัฐโดยตรง วุฒิสภากลายเป็นการปกครองทางอ้อม ขณะที่เจไดเป็นรัฐบาลเดี่ยว และกองกำลังของสาธารณรัฐก็ถูกรวมเข้ากับกองทัพแห่งแสงสว่างของเจได

เกือบห้าร้อยปีหลังจากนั้น สงครามก็ยังคงดำเนินต่อไป กองทัพแห่งแสงสว่างได้ขับไล่ซิธกลับสู่ดาวรูซาน พวกซิธแพ้ราบคาบเมื่อถึง 1,000 ปีก่อนยุทธการยาวินในยุทธการรูซานครั้งที่ 7 แม้ว่ากองทัพแห่งแสงสว่างส่วนใหญ่บนรูซานถูกทำลาย

หลังจากสงครามนั้น การปฏิรูปรูซานก็เกิดขึ้นโดยสมุหนายกทาร์ซัส วาโลรัม มันได้คืนอำนาจกลับสู่วุฒิสภา เจไดกลับมาอยู่ภายใต้อำนาจของรัฐบาลอีกครั้ง และเลิกใช้กองทัพที่เหลือของเจได

ในที่สุด หลังจากสงครามมากมาย ความสงบสุขและความรุ่งโรจน์ก็หวนคืนสู่สาธารณรัฐ กระนั้นความพึงพอใจที่อันตรายก็เกิดขึ้น กองทัพบกและกองทัพเรือขนาดใหญ่ถูกลดขนาดลง และสาธารณรัฐก็ใช้เจไดมากขึ้นเรื่อยๆ เพื่อดูแลความเรียบร้อย แม้ว่าจะมีสถานการณ์รุนแรง—อย่างสงครามสตาร์คไฮเปอร์สเปซและการรุกรานนาบู—ขนาดของกองทัพก็ยังต่างกับในอดีตอย่างมาก

ความตกต่ำของสาธารณรัฐ

สาธารณรัฐไม่ได้เป็นอย่างที่มันเคยเป็น วุฒิสภาโกงกิน ผู้แทนที่ทะเลาะกัน ไม่มีอะไรเหมือนเก่า— วุฒิสมาชิกพัลพาทีน

เมื่อสาธารณรัฐเริ่มมีอำนาจมากขึ้นเรื่อยๆ ข้าราชการและวุฒิสภาที่ขับเคลื่อนรัฐบาลก็เริ่มโกงกิน ระบบบริหารที่ถูกบ่อนทำลายมาหลายพันปีขัดได้ขวางความพยายามใดๆ ก็ตามที่จะเข้าควบคุมรัฐบาล ยิ่งไปกว่านี้ คนดีๆ ก็ถูกขัดขวางโดยการปกครองนั้นเอง และเนื่องมาจากเหล่านายทุนอันเป็นธรรมชาติของสาธารณรัฐ พวกคอร์รัปชั่นอย่างสมาพันธ์การค้าและสหภาพเทคโนโลยีได้มีอำนาจมากขึ้นจนถึงขั้นสร้างกองทัพของตัวเอง ดูเหมือนท้ายสุดแล้ว สิ่งเหล่านี้ได้สร้างความตกต่ำให้กับสาธารณรัฐ นั่นก็เพราะว่ามันถูกทะนุบำรุงและเร่งให้เกิดขึ้น (หรือแม้แต่เริ่มขึ้น) โดยซิธในช่วงหลายศตวรรษที่พวกเขาซ่อนตัวหลังสิ้นสุดยุทธการรูซาน

ในช่วงเวลานี้ (32 ปีก่อนยุทธการยาวิน) วุฒิสมาชิกจากนาบูนามว่าพัลพาทีน บ้านเกิดของเขาถูกยึดโดยสมาพันธ์พาณิชย์ แม้ว่าดาวทั้งดวงจะถูกยึดครอง มันก็เป็นที่กล่าวโทษว่ามันเกิดขึ้นเพราะระบบดำเนินงานของรัฐบาล เมื่อราชินีอมิดาล่า—ผู้นำสูงสุดที่ถูกเลือกจากระบบนาบู—กล่าวต่อหน้าวุฒิสภาว่าต้องการให้มีการทำอะไรสักอย่าง เธอยังอภิปรายไม่ไว้วางใจในตัวผู้นำของสาธารณรัฐ เนื่องมาจากแรงกดดันของพัลพาทีน และสมุหนายกฟินิส วาโลรัมก็ถูกลงคะแนนเสียงให้ออกจากหน้าที่ นี่ทำให้คะแนนการเลือกตั้งให้ขึ้นเป็นสมุหนายกของพัลพาทีนเพิ่มขึ้น

สงครามโคลน

สัญลักษณ์แบบเบนดูในช่วงสงครามโคลน
ดูบทความหลักที่: สงครามโคลน

มันไม่เคยมีสงครามเต็มรูปแบบตั้งแต่สาธารณรัฐก่อตั้งขึ้น— ไซโอ บิบเบิล

ตามปกติแล้ว สมุหนายกจะมีสาระอยู่เพียง 2-4 ปี แต่พัลพาทีนนั้นมีวาระที่ยาวนานกว่า เนื่องมาจากวิกฤตการณ์ฝ่ายแบ่งแยกดินแดน

วิกฤตการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นเมื่อระบบดาวมากมายของสาธารณรัฐได้ทำการรวมตัวกันตั้งองค์กรขึ้นมา เป็นองค์กรณ์ที่คอร์รัปชั้นและลัทธินายทุนที่แพร่ขยายในสาธารณรัฐ พวกเขารวมตัวกันเพื่อแยกตัวออกจากสาธารณรัฐ ต่อมาพวกเขาก็เป็นที่รู้จักกันในชื่อของสมาพันธ์ระบบดาวอิสระ ความตึงเครียดระหว่างสาธารณรัฐและฝ่ายแบ่งแยกดินแดนนั้นได้ทวีความรุนแรงขึ้นเมื่อกลุ่มของเจไดได้ไปเยือนที่ดาวจีโอโนซิส ซึ่งได้เริ่มยุทธการจีโอโนซิส—และสงครามโคลน

วุฒิสภาได้โอนอำนาจฉุกเฉินให้กับพัลพาทีนเพื่อจัดการกับฝ่ายแบ่งแยกดินแดน โดยตัวแทนจากนาบูนามว่าจาร์ จาร์ บิงค์ส การเคลื่อนไหวแรกของพัลพาทีนถูกสนับสนุนมากมายในเวลาเดียวกัน นั่นก็คือการสร้างกองทัพขนาดใหญ่ของนักรบจากการโคลนนิ่งเพื่อต่อสู้ให้กับสาธารณรัฐ ก่อนหน้านี้สาธารณรัฐไม่เคยต้องการกองทัพ เพราะว่าตอนนั้นความรุนแรงขนาดเล็กถูกแก้ไขได้โดยเจไดผู้รักษาความสงบ หรือไม่ก็กองทหารในท้องถิ่น อย่างไรก็ตาม ความจริงที่ว่าฝ่ายแบ่งแยกดินแดนมีกองทัพดรอยด์ขนาดมหึมาทำให้สาธารณรัฐต้องสร้างกองทัพที่มีประสิทธิภาพเพื่อต่อสู้ในครั้งนี้

ในปีถัดมา วุฒิสภาก็ให้อำนาจกับพัลพาทีนมากขึ้น ผู้ซึ่งได้กลายมาเป็นผู้บัญชาการทหารสูงสุด การกระทำเหล่านั้นจะทำในนามของความมั่นคง และพันพาทีนก็ไม่ต้องพิสูจน์ถึงความบริสุทธิ์ใจต่อวุฒิสภาด้วยการกระทำมากมาย เป็นเพราะสมุหนายกได้ความเชื่อมั่นจากเสียงส่วนมากในวุฒิสภา นั่นเป็นเหตุผลที่เขาจะยืดสงครามออกไปให้นานเท่าไหร่ก็ได้ตราบเท่าที่รัฐบาลขึ้นตรงกับเขา พลเมืองของกาแลกซี่ ผู้ซึ่งได้หมดศรัทธาในสาธารณรัฐทั้โกงกินและไม่มีประสิทธิภาพมายาวนาน กลับมองว่าพัลพาทีนคือผู้ปกป้องพวกเขาจากกองทัพดรอยด์และผู้บัญชาการที่โหดร้าย นายพลกรีวัส

จุดจบของประชาธิปไตย

นี่สินะจุดจบของเสรีภาพ ด้วยเสียงปรบมือกึกก้อง— วุฒิสมาชิกแพดเม่ อมิดาล่า

ความไม่ไว้วางใจระหว่างพัลพาทีนและเไดเริ่มเกิดขึ้น ตามที่สงครามยังคงดำเนินต่อไป สมาชิกในสภาเจไดหลายคนเริ่มสงสัยในอำนาจที่เพิ่มขึ้นของพัลพาทีน โดยเฉพาะในวุฒิสภา—ไม่มีใครมือสะอาด ในที่สุด เจไดและด้วยความช่วยเหลือจากอนาคิน สกายวอล์คเกอร์ก็ค้นพบวาพัลพาทีนคือดาร์ธ ซีเดียส ลอร์ดมืดแห่งซิธ และพวกเขารวมหัวกันเพื่อจับกุมพัลพาทีน พัลพาทีนฆ่าอาจารย์เจไดไปสี่คนที่ถูกส่งไปเพื่อคุมตัวเขา—ที่มีชื่อเสียงที่สุดคือ เมซ วินดู—และเป็นผลให้เขาประกาศว่าเจไดทุกคนคือศัตรูของสาธารณรัฐ จากนั้นพัลพาทีนก็ออกคำสั่งที่ 66 ซึ่งให้โคลนทรูปเปอร์ทุกนายทำการสังหารเหล่าผู้บัญชาการเจได

สาธารณรัฐจะร่วงโรย มันเป็นเช่นนั้นตลอดเวลา การร่วงโรยที่จะกินเวลานับพันปี— ดาร์ธ เทรย่าทำนายไว้เมื่อ 3,951 ปีก่อนยุทธการยาวิน

เมื่อสงครามโคลนมาถึงจุดสิ้นสุด พัลพาทีนได้ปรกาศต่อหน้าวุฒิสภาว่าสาธารณรัฐกาแลกติกได้กลายมาเป็นจักรวรรดิกาแลกติกซึ่งจะแข็งแกร่งพอที่จะพ้นภัยจากศัตรูนอกรัฐได้ สมุหนายกผู้ซึ่งตอนนี้ได้เปลี่ยนตัวเองมาเป็นจักรพรรดิของกาแลกซี่ ด้วยการถูกลวงตาจากมนตร์และทักษะของพัลพาทีน ซึ่งเป็นผลจากการโน้มน้าวด้วยด้านมืดของเขา เหล่าวุฒิสมาชิกส่วนใหญ่จึงสนับสนุนเขาด้วยเสียงปรบมือที่กึกก้อง สาธารณรัฐได้ถูกแทนที่ด้วยจักรวรรดิอย่างสมบูรณ์ ในปีต่อมา ผู้คนของกาแลกซี่ต้องเสียใจจากการมองคนผิดของพวกเขา

ส่วนสุดท้ายของสาธารณรัฐเก่าที่หลงเหลืออยู่ได้ถูกปัดกวาดไปแล้วเรียบร้อย— แกรนด์มอฟฟ์วิลฮัฟฟ์ ทาร์กิน

หลังจากสองพันห้าร้อยปีที่ลำบาก สาธารณรัฐกาแลกติกได้ปรากฏตัวขึ้นอีกครั้ง แต่เป็นเพียงวุฒิสภาของจักรวรรดิที่อ่อนแอที่เป็นหุ่นเชิดของจักรพรรดิ—และต่อมาอีกหลายสิบปี ไม่นานหลังจากยุทธการยาวิน พัลพาทีนก็ละทิ้งวุฒิสภา และเป็นการกำจัดสาธารณรัฐที่เหลืออยู่อย่างสิ้นซาก วุฒิสมาชิกได้กลายมาเป็นมอฟฟ์และผู้ว่าราชการในดาวต่างๆ

ใกล้เคียง

สาธารณรัฐจีน (ค.ศ. 1912–1949) สาธารณรัฐประชาธิปไตยคองโก สาธารณรัฐโดมินิกัน สาธารณสมบัติ สาธารณรัฐประชามานิตกัมพูชา สาธารณรัฐฝรั่งเศสที่ 3 สาธารณรัฐเท็กซัส สาธารณรัฐโซเวียตฮังการี สาธารณรัฐเขมร สาธารณรัฐประชาชนยูเครน