การได้พบกับพลายแก้ว ของ สายทอง

ต่อมาเมื่อพลายแก้วหรือขุนแผนบวชเป็นเณรวัดป่าเลไลยก์ ในยามสงกรานต์มีประเพณีจัดเทศน์มหาชาติเสมอ บังเอิญว่าพระที่จะเทศน์กัณฑ์มัทรีเกิดอาพาธปัจจุบันทันด่วน เณรแก้วจึงต้องปฏิบัติหน้าที่แทน และการเทศน์ของเณรแก้วนี้เป็นที่จับใจผู้ฟังทั่วไป นางพิมพิลาไลยที่มาฟังในคราวนั้นด้วยถึงกับเปลื้องผ้าซับในซึ่งเป็นแพรสีชมพูนิ่มออกพับใส่พานแล้วถวายเป็นเครื่องบูชากัณฑ์เทศน์ ซึ่งเณรแก้วและนางพิมก็เกิดประจับใจในกันและกัน ณ ตอนนี้เอง

เณรแก้วนั้นเมื่อนึกรักนางพิมเข้าแล้วก็เดินไปบิณฑบาตที่บ้านนางพิม จนได้พูดจากับนางพิมและนางสายทองจึงจำกันได้ว่าเคยเป็นเพื่อนเล่นกันมาแต่เล็ก ๆ ทั้งนั้น แต่ได้ประสบเคราะห์กรรมจึงแยกย้ายจากกันไป ซึ่งเณรแก้วก็ได้เชื้อเชิญสีกาทั้งสองให้ไปพบคบหากันที่วัดอีกด้วย

ต่อมา เมื่อนางสายทองมาพบที่วัด เณรแก้วได้ร้องขอให้นางพานางพิมมาพบที่ไร่ฝ้ายหลังบ้านนางศรีประจัน เมื่อนางสายทองมีทีท่าอิดเอือนด้วยการอ้างความไม่เหมาะสมทางประเพณี เณรแก้วจึงยื่นข้อเสนอว่าเมื่อตนได้เป็นสามีนางพิมแล้ว จะแบ่งปันความเป็นสามีมาให้นางสายทองด้วย ซึ่งนางสายทองก็รับข้อเสนอนี้โดยการพานางพิมมาไร่ฝ้ายเพื่อที่ตนจะได้พบกับเณรแก้วเช่นกัน ก่อนที่เณรแก้วจะมาพบนางพิมที่ไร่ฝ้ายก็ได้ขอสึกจากความเป็นเณรกับพระรูปหนึ่ง เมื่อพบกันและพลอดรักกันเสร็จแล้ว ตอนเย็นก็กลับวัดไปต่อศีลกับพระอีกรูปหนึ่ง กลับสภาพเป็นเณรอีกครั้ง ซึ่งหม่อมราชวงศ์คึกฤทธิ์ ปราโมช อธิบายว่า[2]

...เณรในสมัยขุนแผนนั้น...เห็นว่ามิได้กวดขันกันเรื่องวัตรปฏิบัติมากนัก คงให้ถือแต่ศีล 10 แล้วก็ถือว่าเป็นเพียงแค่เณร เมื่อศีล 10 มิใช่ศีลปาฏิโมกข์ซึ่งไม่มีอาบัติและไม่มีทัณฑกรรมหรือบทลงโทษแต่อย่างใด เมื่อศีลขาดแล้วต่อศีลใหม่ก็กลายเป็นเณรบริสุทธิ์ต่อไปอีก

ภายหลังจากที่พลายแก้วกลับกลายเป็นเณรแก้วอีกครั้งแล้ว นางสายทองก็ไปมาหาสู่เณรแก้วถึงกุฏิโดยคอยหากับข้าวกับปลามาให้และอยู่พูดคุยกันเป็นเวลานาน ๆ เป็นประจำ ฝ่ายเณรแก้วนั้นคิดใช้นางสายทองเป็นสะพานเข้าหานางพิมจึงเริ่มพูดจาแทะโลมนางสายทอง ครั้นเห็นว่านางสายทองเฉย ๆ ไม่จริงจังด้วย ก็เสกหมากด้วยคาถามหาละลวยให้นางสายทองรับประทาน ซึ่งเมื่อรับประทานแล้วนางสายทองก็กลับกลายเป็นอีกคนหนึ่งทันที มีความรู้สึกอยากตกเป็นภรรยาของเณร ณ บัดนั้น ทั้งเณรแก้วและสีกาจึงเริ่มมีสัมพันธ์ทางเพศกันบนกุฏิ

ระหว่างนั้นมีพระรูปหนึ่งเดินผ่านกุฏิเณรแก้วมาได้ยินเสียงประหลาดก็เกิดความสงสัย มองลอดเข้าไปทางช่องฝาเห็นภาพอุจาดบาดตาทนไม่ได้ จึงรุดไปฟ้องสมภารวัดป่าเลไลยก์ สมภารครั้นได้ยินก็โกรธจัด ฉวยได้ไม้พลองก็ถือบุกเข้าไปในกุฏิเณรแก้ว พบเณรกับสีกานั่งอยู่ด้วยกันก็กระหน่ำตีไม่ยั้ง ทั้งเณรแก้วและนางสายทองจึงตะเลิดเปิดเปิงกันไปคนละทิศละทาง

เณรแก้วนั้นเมื่อกระเจิดกระเจิงออกมาแล้วก็ไม่คิดกลับไปอีก จึงไปฝากตัวเป็นศิษย์สมภารคงวัดแคแห่งอำเภอเมืองสุพรรณบุรีนั้นเองเพื่อร่ำเรียนวิชาการต่าง ๆ จากสมภาร สมภารคงนี้เป็นคนรู้จักมักจี่กับนางทองประศรีมารดาของเณรเองและมีชื่อเสียงทางด้านวิชาอาคม ซึ่งในระยะนั้น ขุนช้างได้ส่งเถ้าแก่มาเจรจาสู่ขอนางพิมจากนางศรีประจัน ซึ่งนางศรีประจันเองก็ชักเออออไปข้างขุนช้างเพราะเห็นแก่ความร่ำรวยของขุนช้าง แต่นางพิมไม่ยอม ตะโกนด่าขุนช้างออกมาแต่ในห้องนอน การสู่ขอจึงระงับไปชั่วคราว นางพิมนั้นก็อาศัยจังหวะขอให้นางสายทองพาตนไปพบเณรแก้วที่วัดแคแล้วเล่าเรื่องให้ฟัง เณรแก้วจึงสึกจากสมณเพศแล้วรบเร้าให้มารดามาสู่ขอนางพิมตามประเพณี