สาหร่ายสีแดง หรือ
โรโดไฟตา (
อังกฤษ: Rhodophyta; มาจาก
ภาษากรีกโบราณ คำว่า ῥόδον (rhodon) แปลว่า กุหลาบ และφυτόν (phyton) แปลว่า พืช) เป็นหนึ่งในกลุ่ม
สาหร่ายเซลล์
ยูคาริโอตที่เก่าแก่ที่สุด
[2] โรโดไฟตายังประกอบด้วยหนึ่งในชนิดสาหร่ายที่ใหญ่ที่สุดในโลก ปัจจุบันมีสาหร่ายสีแดงมากกว่า 7,000 สายพันธุ์ที่ผ่านการจัดจำแนกตาม
อนุกรมวิธานแล้ว
[3] สายพันธุ์ส่วนใหญ่ (6,793) พบในชั้นฟลอริดีอาอี ประกอบไปด้วยสาหร่ายทะเล
หลายเซลล์และสาหร่ายทะเลที่มีชื่อเสียง
[3][4] ประมาณร้อยละ 5 ของสาหร่ายสีแดงพบได้ในสภาพแวดล้อมที่เป็นน้ำจืดและมีสภาพอากาศที่อบอุ่น
[5] ยกเว้น สองสายพันธุ์ในชั้นไซยานีดีโอไฟซีอาอีที่พบในถ้ำบริเวณชายฝั่ง สาหร่ายในชั้นดังกล่าวไม่พบว่าอาศัยอยู่บนบก ทั้งนี้สันนิษฐานว่าเกิดจากปรากฏการณ์คอขวดที่ทำให้บรรพบุรุษของสายพันธุ์เหล่านี้สูญพันธุ์ไปร้อยละ 25
[6][7]สาหร่ายสีแดงมีจุดเด่นที่แตกต่างจากสิ่งมีชีวิตอื่น ๆ นั่นคือ มี
เซลล์ยูคาริโอตที่ไม่มี
แฟลกเจลลาและ
เซนทริโอล คลอโรพลาสต์ของมันไม่มี
ร่างแหเอนโดพลาซึมชั้นนอกและบรรจุ
ไทลาคอยด์อย่างไม่เป็นระเบียบ นอกจากนี้ ยังมีสารไฟโคบีลีโปรตีนในฐานะรงควัตถุเสริม ทำให้สาหร่ายชนิดนี้มีสีแดง
[8] สาหร่ายสีแดงเก็บน้ำตาลในรูปแป้งฟลอริดีอัน ซึ่งเป็นแป้งที่ประกอบด้วย
อะไมโลเพกทิน (แต่ไม่มี
อะไมโลส)
[9] ในฐานะแหล่งเก็บอาหารนอกพลาสติดของมัน สาหร่ายสีแดงส่วนใหญ่มีหลายเซลล์
สืบพันธุ์แบบอาศัยเพศ และมีวงจรสลับ 3 ช่วง
[10]สาหร่ายกัลปังหา ซึ่งขับถ่าย
แคลเซียมคาร์บอเนต มีส่วนช่วยในการสร้าง
แนวปะการัง สาหร่ายสีแดงอื่น ๆ อย่าง
ดัลส์ (Palmaria palmata) และ
ลาเวอร์ (โนริ/กิม) เป็นต้นกำเนิดของอาหารเอเชียและยุโรป และมักใช้ทำ
อะการ์ คาร์ราจีนัน และสารปรุงแต่งอาหารอื่น ๆ
[11]