ประวัติความเป็นมาเรื่องสิทธิสตรี ของ สิทธิสตรี

ประเทศจีน

สถานะของผู้หญิงในประเทศจีนอยู่ในสถานะที่ต่ำ โดยส่วนใหญ่แล้วมีสาเหตุมาจากขนบธรรมเนียมประเพณีเท้าดอกบัว (foot binding) ผู้หญิงชาวจีนคิดเป็นร้อยละ 45 มีเท้าดอกบัวในช่วงศตวรรษที่ 19 ในระดับชนชั้นที่สูงขึ้นพบว่ามีเท้าดอกบัวเกือบ 100% ในปี ค.ศ. 1912 รัฐบาลจีนสั่งให้มีการสิ้นสุดการมีเท้าดอกบัว เท้าดอกบัวมีส่วนสัมพันธ์กับโครงสร้างกระดูกเปลี่ยนแปลงเพื่อให้เท้ามีความยาวเพียงแค่ประมาณ 4 นิ้ว เท้าดอกบัวก่อให้เกิดความยากลำบากในการเคลื่อนไหวดังนั้นจึงทำให้การทำกิจกรรมต่างๆของสตรีมีจำกัดมีขนบธรรมเนียมประเพณีทางสังคม คือ ผู้ชายและผู้หญิงไม่ควรอยู่ใกล้กัน ดังนั้นหญิงชาวจีนจึงมีความลังเลในการเข้ารับการรักษาโดยแพทย์ชายที่มีการรักษาตามแบบการแพทย์แผนตะวันตก สิ่งนี้ส่งผลให้เกิดความต้องการแพทย์หญิงอย่างมากในการให้การรักษาตามแบบการแพทย์แผนตะวันตกในประเทศจีน ดังนั้นมิชชันนารีชาวอเมริกันจากคณะอเมริกันบอร์ดจากโบสถ์เพรสบีเทอเรียน (Presbyterian Church) จึงได้ส่งตัวแพทย์หญิงมิชชันนารี ด็อกเตอร์ Mary H. Fulton (ในปี ค.ศ. 1854-1927) [3] เพื่อไปก่อตั้งวิทยาลัยแพทยศาสตร์แห่งแรกสำหรับสตรีในประเทศจีน วิทยาลัยนี้เป็นที่รู้จักกันในนาม Hackett Medical College for Women [4][5] วิทยาลัยนี้ตั้งอยู่ในนครกว่างโจว (Guangzhou) ประเทศจีนและได้รับเงินบริจาคจำนวนมากจากคุณ Edward A.K. Hackett (ในปี ค.ศ. 1851-1916) จากรัฐอินดีแอนา (Indiana) ประเทศสหรัฐอเมริกา วิทยาลัยนี้มุ่งหวังในการเผยแพร่ศาสนาคริสต์และการแพทย์แผนปัจจุบันและการยกระดับสถานะทางสังคมของหญิงชาวจีน[6][7]

ประเทศกรีซ (Greece)

สถานภาพของสตรีในกรีกโบราณมีความแตกต่างกันจากเมืองหนึ่งไปยังอีกเมืองหนึ่ง มีการบันทึกเกี่ยวกับสตรีในเมืองโบราณต่างๆในประเทศกรีก เช่น เดลฟี (Delphi) กอร์ไทน์ (Gortyn) เทสซาลี (Thessaly) เมการา (Megara) และสปาร์ตา (Sparta) ในการที่สตรีเป็นเจ้าของที่ เป็นสิ่งที่มีเกียรติมากที่สุดของการมีทรัพย์สมบัติส่วนตัวในช่วงเวลานั้น [8]

ในนครรัฐเอเธนส์ (Athens) สมัยโบราณ สตรีไม่มีความเป็นมนุษย์ตามกฎหมายและถือว่าเป็นอย่างส่วนหนึ่งของ oikos (ภาษากรีก ซึ่งแปลว่า “บ้าน” หรือ “ที่อยู่ศัย”) ผู้ชายเป็นอย่างผู้นำ เป็นอย่าง kyrios (ภาษากรีก ซึ่งแปลว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้า”) ผู้หญิงจะอยู่ภายใต้การปกครองของบิดาตนหรือญาติคนอื่นซึ่งเป็นเพศชายจนกว่าจะมีการแต่งงาน และเมื่อมีการแต่งงานไปสามีจะกลายมาเป็นพระเจ้าของตน ผู้หญิงถูกห้ามจากการมีส่วนในกระบวนการพิจารณาตามกฎหมาย (legal proceedings) แต่ผู้ชายที่มีฐานะเป็นอย่างพระเจ้าสามารถทำสิ่งดังกล่าวได้ในนามของตน[9]

ผู้หญิงแห่งนครเอเธนส์มีสิทธิจำกัดในทรัพย์สิน ดังนั้นจึงไม่ถือว่ามีความพลเมืองอย่างเต็มที่ เนื่องจากว่าคำว่า ความเป็นพลเมือง (citizenship) และการมีสิทธิ์ (entitlement) ในเรื่องพลเมืองและการเมืองมีความหมายสัมพันธ์กับทรัพย์สินและวิถีต่างๆในชีวิต[10] แต่อย่างไรก็ตามผู้หญิงสามารถได้รับสิทธิในทรัพย์สินจากของขวัญ สินสมรส (dowry) และมรดก (inheritance) แม้ว่าผู้ชายซึ่งเป็นพระเจ้าของตนมีสิทธิในการนำทรัพย์สินของผู้หญิงออกไป[11] ผู้หญิงแห่งนครเอเธนส์สามารถมีส่วนในการทำสัญญาซึ่งมีค่าน้อยกว่า “หน่วยวัดปริมาตร medimnos ของข้าวบาร์เล่ย์ ” (medimnos เป็นภาษากรีก ซึ่งเป็นหน่วยวัดปริมาณของข้าว) การมีสิทธิในการทำสัญญานี้ช่วยให้ผู้หญิงมีส่วนในการค้าย่อย (petty trading) [9] ผู้หญิงซึ่งเป็นอย่างทาสไม่มีคุณสมบัติในการเป็นพลเมืองที่เต็มที่ในนครเอเธนส์สมัยโบราณแม้ว่าในบางสถานการณ์ที่เกิดขึ้นนานๆครั้งที่ผู้หญิงสามารถกลายมาเป็นพลเมืองได้ถ้าได้รับอิสรภาพ ดังนั้น เครื่องกีดกันที่ถาวรเพียงแค่อย่างเดียวเท่านั้นในความเป็นพลเมือง การมีสิทธิพลเมืองและสิทธิการเมืองได้อย่างเต็มที่ คือ เรื่องเพศ ในนครเอเธนส์สมัยโบราณไม่มีผู้หญิงคนใดเคยได้รับความเป็นพลเมือง ดังนั้นในเชิงหลักการและเชิงปฏิบัติ ผู้หญิงไม่ได้รับการพิจารณารวมอยู่ในการปกครองแบบประชาธิปไตยแห่งนครเอเธนส์ในสมัยโบราณ[12]

ในทางตรงกันข้าม ผู้หญิงแห่งเมืองสปาร์ตามีความสุขกับสถานะ อำนาจ และการไม่เป็นที่รู้จักในโลกคลาสสิก แม้ว่าผู้หญิงแห่งเมืองสปาร์ตาไม่ได้รับเลือกให้เข้ารับราชการทหารและถูกคัดออกจากการมีชีวิตที่เกี่ยวข้องกับการเมือง แต่ผู้หญิงเหล่านี้ก็มีความสุขในฐานะที่เป็นมารดาของนักรบชาวเมืองสปาร์ตา ขณะที่ผู้ชายมีส่วนร่วมในราชการทหาร ผู้หญิงจะทำหน้าที่รับผิดชอบในการดำเนินการเรื่องทรัพย์สินที่ดิน ในช่วงศตวรรษที่ 4 ก่อนคริสต์ศักราชผู้หญิงชาวเมืองนี้จะติดตามสวัสดิการยืดเยื้อ เป็นเจ้าของที่ดินเมืองสปาร์ตาและทรัพย์สินทั้งหมด คิดเป็นประมาณ 35% ถึง 40%[13][14] ภายในสมัยเฮเลนนิสติค (Hellenistic period) ชาวเมืองสปาร์ตาที่มีความมั่งคั่งที่สุดจำนวนหนึ่งเป็นผู้หญิง[15] ผู้หญิงควบคุมทรัพย์สินของตนทั้งหมดรวมไปถึงทรัพย์สินของญาติซึ่งเป็นเพศชายซึ่งออกไปกองทัพ[13] การที่ผู้หญิงชาวเมืองสปาร์ตาแต่งงานก่อนอายุ 20 ปีนั้นหาได้ยาก ผู้หญิงชาวเมืองสปาร์ตาแตกต่างจากผู้หญิงชาวเมืองเอเธนส์ ผู้หญิงชาวเมืองเอเธนส์สวมใส่เสื้อผ้าที่หนักและปกปิดร่างกายและไม่ค่อยพบผู้หญิงเหล่านี้นอกบ้าน ส่วนผู้หญิงชาวเมืองสปาร์ตาสวมชุดกระโปรงสั้นและไปในสถานที่ที่ตนอยากไป[16] เด็กผู้หญิงได้รับการศึกษาเช่นเดียวกับเด็กผู้ชายและหญิงสาวมีส่วนร่วมใน Gymnopaedia ("เทศกาลเปลือยกายของหนุ่ม Nude Youths") เช่นเดียวกับชายหนุ่มที่มีส่วนร่วม[13][17]

เพลโต (Plato) ทราบว่าการให้สิทธิการเมืองและพลเมืองแก่ผู้หญิงจะเปลี่ยนแปลงลักษณะของทั่วไปของครอบครัวและรัฐไปอย่างมาก[18] อริสโตเติลซึ่งได้รับคำสอนจากเพลโต อริสโตเติลได้ปฏิเสธเรื่องที่ว่าผู้หญิงคือทาสหรือขึ้นอยู่กับทรัพย์สิน อริสโตเติลแย้งว่า “ธรรมชาติได้แยกความแตกต่างระหว่างผู้หญิงและทาส” แต่อริสโตเติลคิดว่าภรรยาเป็นอย่าง “สิ่งที่ซื้อมา” อริสโตเติลแย้งว่ากิจกรรมทางเศรษฐกิจหลักของผู้หญิง คือ การทำหน้าที่ดูแลทรัพย์สินภายในบ้านที่ผู้ชายได้หามา จากการติดตามแนวคิดของอริสโตเติล แรงงานผู้หญิงไม่มีค่าเนื่องจาก “ศิลปะในการจัดการบ้านเรือน” ไม่มีความคล้ายคลึงกับศิลปะในการสร้างความร่ำรวยมั่งคั่ง เนื่องจากว่าเป็นบุคคลที่ใช้สิ่งซึ่งอีกฝ่ายสร้างขึ้น”[19]

นักปรัชญาลัทธิสโตอิกมีแนวคิดที่ตรงกันข้ามกับแนวคิดดังกล่าว ได้แย้งเรื่องความเท่าเทียมทางเพศ ความไม่เท่าเทียมทางเพศ เป็นแนวคิดที่ขัดแย้งกับกฎธรรมชาติ[20] ในข้อโต้แย้งดังกล่าวนั้นนักปรัชญาเหล่านี้ได้ติดตามแนวคิดของลัทธิซีนิกส์ (Cynics) ซึ่งแย้งว่าผู้ชายและผู้หญิงควรจะสวมเสื้อผ้าที่เหมือนกันและได้รับการศึกษาแบบเดียวกัน[20] และนักปรัชญาเหล่านี้ก็มองว่าการแต่งงานเป็นอย่างการเป็นเพื่อนทางศีลธรรม (moral companionship) ระหว่าง 2 ฝ่ายที่เท่าเทียมกันนอกจากความจำเป็นทางสังคมหรือทางชีวภาพ นักปรัชญาก็นำแนวคิดเหล่านี้ไปใช้ในชีวิตตนและไปใช้ในการสอน[20] ลัทธิสโตอิกนำแนวคิดของลัทธิซีนิกส์มาใช้และนำไปเพิ่มในทฤษฎีเรื่องธรรมชาติของมนุษย์ ดังนั้นนักปรัชญาจึงเพิ่มเรื่องความเสมอภาคทางเพศรวมอยู่ในพื้นฐานทางปรัชญาเป็นพื้นฐานที่หนักแน่น[20]

กรุงโรมสมัยโบราณ

Fulvia (ฟูลเวีย) ภรรยาของ Mark Antony (มาร์ค แอนโทนี่) บังคับบัญชากองทัพระหว่างช่วงสงครามกลางเมืองของชาวโรมัน (Civil wars) และเป็นสตรีคนแรกซึ่งภาพเหมือนของตนปรากฏอยู่บนเหรียญโรมัน[21]

ผู้หญิงที่เกิดมาอย่างอิสระในกรุงโรมสมัยโบราณเป็นพลเมืองซึ่งมีความพึงพอใจกับสิทธิพิเศษทางกฎหมายและการได้รับความคุ้มครองทางกฎหมาย ซึ่งสิทธิพิเศษและการคุ้มครองนี้ไม่ได้ขยายขอบเขตไปถึงผู้ที่ไม่ใช่พลเมืองหรือทาส แต่อย่างไรก็ตามสังคมโรมันเป็นสังคมอำนาจฝ่ายบิดา (patriarchal) และผู้หญิงไม่สามารถออกเสียงเลือกตั้ง หรือดำรงตำแหน่งสาธารณะหรือเข้ารับราชการทหาร[22] ผู้หญิงในชนชั้นที่สูงขึ้นใช้อิทธิพลทางการเมืองผ่านทางการสมรสและความเป็นมารดา ระหว่างช่วงสมัยสาธารณรัฐโรมัน (Roman Republic) มารดาของพี่น้องกรรักชุช (Gracchus) และของจูเลียส ซีซาร์ (Julius Caesar) เป็นอย่างสตรีที่น่าเอาอย่างซึ่งเป็นผู้ทำให้อาชีพของลูกชายมีความก้าวหน้า ในระหว่างช่วงโรมันสมัยจักรวรรดิ (Imperial Period) สตรีของครอบครัวจักรพรรดิสามารถได้รับอำนาจทางการเมืองได้เป็นอย่างมากและจะมีการบรรยายถึงสตรีเหล่านั้นอยู่เป็นประจำในงานศิลปะที่ดูเป็นทางการและในระบบเงินเหรียญ Plotina (โปลตินา) ใช้อิทธิพลต่อสามีของหล่อน จักรพรรดิทราจัน (Trajan)และทายาทฮาเดรียน (Hadrian ) ข้อมูลทางจดหมายและคำร้องเรียนของโปลตินาในเรื่องต่างๆที่เป็นทางการแพร่พรายสู่สาธารชน ข้อมูลเหล่านั้น คือ เครื่องหมายแสดงให้เห็นว่าแนวคิดของหล่อยถือว่ามีความสำคัญเป็นอย่างแนวคิดที่เป็นที่นิยม[23]

สถานะพลเมืองของบุตรกำหนดโดยใช้สถานะของมารดา ทั้งลูกสาวและลูกชายอยู่ภายใต้ patria potestas (อาญาสิทธิ์พ่อบ้าน) ซึ่งเป็นอำนาจปกครองโดยบิดาของตน บิดาเป็นอย่างหัวหน้าครอบครัว (paterfamilias=บิดาเป็นหัวหน้าครอบครัว) ในช่วงจักรพัตราธิราช (อยู่ระหว่างศตวรรษที่ 1-2) สิทธิทางกฎหมาย (legal standing) ของลูกสาวมีความแตกต่างเล็กน้อยจากสิทธิทางกฎหมายของลูกชาย[24] เด็กหญิงมีสิทธิทางมรดกที่เท่าเทียมกันกับเด็กชายถ้าบิดาของตนเสียชีวิตโดยไม่ได้ทำพินัยกรรมไว้[25]

คู่หนึ่งกำลังจับมือกันอย่างแน่นในพิธีสมรส ภาพนี้เป็นแนวคิดของชาวโรมัน เป็นอย่างองค์ประกอบพื้นฐานของสังคมและเป็นอย่างสิ่งแสดงถึงเพื่อนคู่เคียงซึ่งมีส่วนในการให้กำเนิดบุตรและเลี้ยงดูบุตร จัดการหน้าที่ต่างๆในชีวิตประจำกัน นำพาชีวิตในแบบที่น่าเอาอย่าง และมีความรักที่มีสุข [26]

ในช่วงสมัยสาธารณรัฐโรมัน (Roman Republic) ตอนแรกเริ่ม เจ้าสาวเมื่อแต่งงานแล้วจะอยู่ภายใต้การปกครอง หรืออยู่ภายใต้ manus (ซึ่งแปลว่า มือ) ของสามี ซึ่งก่อนแต่งงานจะอยู่ในการปกครองของบิดาตน เจ้าสาวจะอยู่ภายใต้การปกครองของหัวหน้าครอบครัว (เรียกว่า potestas) หรือสามีตน แต่ระดับการปกครองอยู่ในระดับที่น้อยกว่าบุตรของตน[27] รูปแบบการแต่งงานแบบ manus (ซึ่งหมายถึงภายใต้มือหรือการปกครองของสามี) นี้เป็นรูปแบบที่มีการละทิ้งกันแพร่หลายในสมัยจูเลียส ซีซาร์ (Julius Caesar) ในช่วงนั้นผู้หญิงยังคงอยู่ภายใต้อำนาจของบิดาตนตามกฎหมายแม้ว่าตนจะย้ายไปอยู่บ้านสามี เหตุการณ์นี้เป็นอย่างปัจจัยหนึ่งที่แสดงถึงความเป็นอิสระที่หญิงชาวโรมันมีความสุข เป็นเหตุการณ์ที่เกี่ยวข้องกับวัฒนธรรมโบราณจนถึงวัฒนธรรมในสมัยปัจจุบัน[28] แม้ว่าลูกสาวต้องตอบคำถามบิดาของตนในเรื่องกฎหมายแต่ในชีวิตประจำวันลูกสาวก็เป็นอิสระจากการที่บิดาของตนพิจารณาไตร่ตรองโดยตรงในเรื่องต่างๆเกี่ยวกับกฎหมาย[29] และสามีตนไม่มีอำนาจทางกฎหมายควบคุมหญิงสาว[30] เมื่อบิดาของตนเสียชีวิต หญิงสาวก็จะกลายมาเป็นอิสระตามกฎหมาย (sui iuris).[31] ผู้หญิงที่แต่งงานแล้วมีความเป็นเจ้าของทรัพย์สินใดๆที่ตนนำมาในช่วงพิธีสมรม[32] แม้ว่าจะมีประเด็นเรื่องความภาคภูมิใจในการเป็น “ผู้หญิงที่รักเดียวใจเดียว” (univira) ซึ่งแต่งงานเพียงแค่ครั้งเดียว แต่อย่างไรก็ตามก็เกิดปัญหาขึ้นที่นำไปสู่การหย่าร้าง มีการแต่งงานใหม่ แต่ก็ไม่ได้เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วหลังการสูญเสียสามีเนื่องจากการตายหรือการหย่าร้าง[33]

หญิงชาวโรมันยังคงเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัวที่ให้กำเนิดตนตามกฎหมาย ดังนั้นหญิงชาวโรมันจึงสามารถคงนามสกุลของครอบครัวตนไว้ได้ในชีวิต เด็กส่วนใหญ่มักจะใช้นามสกุลของบิดาตนแต่อย่างไรก็ตามในช่วงจักรพรรดิ บางครั้งก็ใช้นามสกุลของมารดา มารดาของชาวโรมันมีสิทธิในการครอบครองทรัพย์สินและสิทธิในการนำทรัพย์สินไปเมื่อตนเห็นว่าเหมาะสม นอกจากนี้มีสิทธิในการกำหนดเงื่อนไขต่างๆในพินัยกรรมของตน ทำให้มารดาชาวโรมันมีอิทธิพลเหนือบุตรชายของตนเมื่อบุตรเติบโตเป็นผู้ใหญ่[35] เนื่องจากว่าผู้หญิงมีสถานะทางกฎหมายเป็นอย่างพลเมืองคนหนึ่งและสามารถมีอิสรภาพได้ ดังนั้นผู้หญิงจึงสามารถเป็นเจ้าของทรัพย์สิน สิทธิในการทำสัญญา และการมีส่วนร่วมในธุรกิจ[36] ผู้หญิงบางคนได้รับทรัพย์สมบัติมากมายและสามารถนำทรัพย์สมบัติออกไปได้ ได้มีบันทึกเรื่องราวเหล่านี้เป็นข้อความจารึกว่าผู้หญิงเป็นอย่างผู้ได้รับผลประโยชน์ในการจัดหาทุนในการทำงานสาธารณะที่สำคัญ[37]

ผู้หญิงชาวโรมันสามารถปรากฏตัวในศาลและโต้แย้งคดีต่างๆได้ แม้ว่าโดยธรรมเนียมประเพณีแล้วฝ่ายชายต้องเป็นตัวแทนในการดำเนินคดี[38] ในขณะเดียวกันในเชิงปฏิบัติการด้านกฎหมายนั้นผู้หญิงได้รับการดูหมิ่นว่าขาดความรู้มากเกินไปและมีจิตใจที่อ่อนแอ ตื่นตัวมากเกินไปในเรื่องกฎหมาย สิ่งนี้ส่งให้เกิดตัวบทกฎหมายที่จำกัดผู้หญิงในการดำเนินการคดีในนามตนเองแทนที่ผู้อื่น[39] แม้แต่หลังข้อจำกัดนี้ได้นำมาใช้ ก็มีตัวอย่างมากมายที่ผู้หญิงดำเนินการต่างๆในด้านกฎหมาย รวมไปถึงการออกคำสั่งแก่ทนายความเพศชาย[40]

อย่างเช่นในกรณีผู้เยาว์ ผู้หญิงที่ได้รับอิสระจะมีผู้พิทักษ์ซึ่งเป็นเพศชายได้รับการแต่งตั้ง (tutor คือ ผู้พิทักษ์ ผู้ปกครอง) ให้แก่ตน แต่อย่างไรก็ตาม ผู้หญิงยังคงมีอำนาจในการบริหาร เว้นแต่จะมีวัตถุประสงค์อย่างเดียวคือการให้ความยินยอมที่เป็นทางการในเรื่องการกระทำต่างๆ[41] ผู้พิทักษ์ไม่มีสิทธิในการพูดเรื่องชีวิตส่วนตัวของหญิงสาว และหญิงสาวซึ่งบรรลุนิติภาวะ (sui iuris) สามารถแต่งงานตามที่ตนพึงพอใจ[42] และนอกจากนี้ผู้หญิงก็มีวิธีการต่างๆในการขอความช่วยเหลือถ้าตนปรารถนาหาผู้มาทำหน้าที่แทนผู้พิทักษ์ที่กีดขวาง[43] ในเชิงปฏิบัติความเป็นผู้พิทักษ์ค่อยๆจางหายไป และภายในศตวรรษที่ 2 Gaius นักกฎหมายอิสระ (jurist) ไม่คิดว่าการเป็นผู้พิทักษ์เป็นสิ่งที่มีเหตุผล[44]

รูปหล่อเล็กๆสีบรอนซ์ เป็นรูปหญิงสาวกำลังอ่านหนังสือ ( ศตวรรษที่ 1 ในช่วงต่อมา)

จักรพรรดิออกุสตุส (Augustus) คนแรกของชาวโรมันกำหนดให้การเลื่อนขึ้นสู่ตำแหน่งที่สูงขึ้นของตนไปมีอำนาจแต่เพียงผู้เดียวเป็นอย่างการกลับไปสู่ความมีศีลธรรมตามประเพณี และได้พยายามออกกฎความประพฤติของผู้หญิงโดยใช้กฎระเบียบทางศีลธรรม ในเรื่องการคบชู้ (adultery) ซึ่งเป็นเรื่องครอบครัวถือว่าเป็นความผิด การคบชู้เป็นการกระทำทางเพศที่ผิดซึ่งเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้ระหว่างพลเมืองชายและหญิงที่แต่งงานแล้ว หรือเกิดขึ้นระหว่างหญิงที่แต่งงานแล้วและชายอื่นที่ไม่ใช่สามีตน มีสองมาตรฐานเกิดขึ้น หญิงที่แต่งงานแล้วสามารถมีสัมพันธ์ทางเพศได้เพียงแค่กับสามารถตน แต่สามีไม่ได้มีการคบชู้เมื่อตนมีเพศสัมพันธ์กับโสเภณี ทาส หรือบุคคลที่มีสถานะด้อย (infamis) [46] การคลอดบุตรได้รับการสนับสนุนจากรัฐ เช่น ius trium liberorum ("สิทธิทางกฎหมายของเด็ก 3 คน") ช่วยให้ผู้หญิงที่มีบุตร 3 คนมีเกียรติเป็นสิ่งที่แสดงถึงสัญลักษณ์และมีสิทธิพิเศษทางกฎหมาย และยังได้รับอิสระจากการมีผู้พิทักษ์เพศชาย[47]

ปรัชญาลัทธิสโตอิกมีอิทธิพลต่อการพัฒนากฎหมายของชาวโรมัน นักปรัชญาลัทธิสโตอิกในสมัยจักรพรรดิเช่น เซเนกา (Seneca) และMusonius Rufus ซึ่งได้พัฒนาทฤษฎีความสัมพันธ์ที่ถูกต้องตามกฎหมาย (just relationships) นักปรัชญาเหล่านี้ไม่ได้ส่งเสริมความเท่าเทียมกันในสังคมหรือภายใต้กฎหมาย นักปรัชญาถือว่าธรรมชาติให้ความสามารถเท่าเทียมกันแก่ชายและหญิงในเรื่องคุณงามความดีและหน้าที่เท่าเทียมกัน การกระทำในทางที่ดีงาม ดังนั้นชายและหญิงมีความต้องการเท่าเทียมกันในการได้รับการศึกษาทางปรัชญา[20] แนวโน้มทางปรัชญาเหล่านี้ในกลุ่มคนร่ำรวยถือว่าได้ช่วยพัฒนาสถานะของผู้หญิงภายใต้สมัยจักรพรรดิ[48]

กรุงโรมไม่มีระบบการศึกษาที่ได้รับการส่งเสริมจากรัฐ และการศึกษาจะมีอยู่ได้เพียงแค่ผู้ที่สามารถจ่ายค่าเรียนได้ บุตรสาวของสมาชิกวุฒิสภา (senators) และอัศวิน (knights) ได้รับการศึกษาระดับประถมศึกษา (ในช่วงอายุ 7-12 ปี) [49] ถ้าเราไม่พิจารณาเรื่องเพศ กล่าวได้ว่าผู้คนจำนวนน้อยได้รับการศึกษาในระดับดังกล่าว เด็กหญิจากครอบครัวที่มีฐานะปานกลางอาจจะต้องเรียนหนังสือเพื่อช่วยเหลือธุรกิจครอบครัวของตนหรือได้ทักษะความสามารถในการอ่านเขียนที่จะช่วยให้ตนทำงานเป็นเสมียนและเลขานุการ[50] สตรีที่ได้รับความโดดเด่นที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลกโบราณในเรื่องการเรียนรู้ คือ ไฮพาเทีย แห่งอเล็กซานเดรีย ซึ่งสอนบทเรียนขั้นสูงให้แก่ชายหนุ่มและให้คำแนะนำเรื่องความสมบูรณ์แบบของอียิปต์ในเรื่องการเมือง อิทธิพลของไฮพาเทียก่อให้เกิดความขัดแย้งกับหัวหน้าบาทหลวงแห่งอเล็กซานเดรียผู้ซึ่งมีส่วนเกี่ยวข้องในการเสียชีวิตของไฮพาเทียในปี 415 เสียชีวิตโดยกลุ่มมาเฟียที่เป็นชาวคริสเตียน[51]


แหล่งที่มา

WikiPedia: สิทธิสตรี http://www.amazon.com/Inasmuch-Mary-H-Fulton/dp/11... http://www.cqvip.com/qk/83891A/200203/6479902.html http://books.google.com/?id=2bDxJW3x4f8C&dq=sparta... http://books.google.com/?id=Jug6crxEImIC&dq=Aristo... http://books.google.com/?id=WY-2MeZqoK0C&pg=PA36&d... http://books.google.com/?id=XMohyLfGDDsC&dq=women+... http://books.google.com/?id=Xfx1VaSIOgQC&printsec=... http://books.google.com/books?id=c3k2AN1GulYC&prin... http://www.hkbu.edu.hk/~libimage/theses/abstracts/... http://cuir.car.chula.ac.th/handle/123456789/37253