ประวัติ ของ สุพรหมัณยัน_จันทรเศขร

จันทรเศขร เกิดเมื่อวันที่ 19 ตุลาคม ค.ศ. 1910 ในเมืองละฮอร์ ปัญจาบ บริติชอินเดีย ในครอบครัวชาวทมิฬ เป็นบุตรคนที่สาม จากพี่น้อง 10 คน มารดาชื่อสีตา (นามสกุลเดิม พาลกฤษณัน) บิดาชื่อ สุพรหมัณยะ อัยยาร์ ในภาษาสันสกฤต ชื่อ “จันทรเศขร” (จัน-ทระ-เส-ขอน) เป็นพระนามหนึ่งของพระศิวะ หมายถึง ผู้ถือพระจันทร์ และเป็นชื่อที่นิยมใช้ในหมู่ชาวทมิฬ (อย่างไรก็ตาม มีเอกสารบางชิ้นสะกดเป็นอักษรไทยว่า “จันทรสิกขา” ซึ่งไม่ตรงกับการถ่ายอักษรจากภาษาเดิม) สำหรับชื่อเล่น Chandra นั้นอาจถ่ายเป็นอักษรไทยว่า จันทร (จัน-ทระ) แต่เพื่อความสะดวกในการออกเสียงนิยมเขียน “จันทรา” (พระจันทร์ในภาษาอินเดีย ถือเป็นเพศชาย) ที่บ้านของจันทราใช้ภาษาทมิฬเป็นภาษาหลัก บิดาเป็นนักบัญชีในหน่วยงานของรัฐ และเป็นนักไวโอลินสมัครเล่นฝีมือดี ซึ่งได้แต่งตำราหลายเล่มว่าด้วยวิชาดนตรี ส่วนมารดานั้นมีความรู้ด้านวรรณกรรม เคยแปลวรรณกรรมเรื่อง A Doll’s House ของเฮนริค อิบเสน เป็นภาษาทมิฬ

ในเบื้องต้น จันทราเรียนกับบิดามารดาที่บ้าน กระทั่งจบชั้นมัธยมต้น เมื่ออายุ 12 ปี และเข้าเรียนมัธยมปลายในโรงเรียนฮินดู ระหว่าง ค.ศ. 1922-25 ต่อมาได้เข้าศึกษาที่เปรซิเดนซี คอลเลจ ระหว่าง ค.ศ. 1925-1930 โดยได้รับปริญญาวิทยาศาสตรบัณฑิต (เกียรตินิยม) สาขาฟิสิกส์

เมื่อเดือนมิถุนายน ค.ศ. 1930 จันทรเศขรได้รับทุนจากรัฐบาลให้ไปศึกษาต่อระดับปริญญาโท ที่มหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ และได้เข้าศึกษาที่ทรินิตีคอลเลจ และเป็นนักศึกษาวิจัยของศาสตราจารย์ ราล์ฟ เอช ฟาวเลอร์ และด้วยคำแนะนำของศาสตราจารย์ พอล ดิแรก ในฐานะส่วนหนึ่งของการศึกษา ทำให้จันทราได้ใช้เวลา 1 ปี ที่สถาบันฟิสิกส์เชิงทฤษฎี ในกรุงโคเปนเฮเกน ประเทศเดนมาร์ก และทำให้เขาได้พบกับศาสตราจารย์นีลส์ บอร์ ที่นี่

ในช่วงฤดูร้อน ค.ศ. 1933 จันทรเศขรได้รับปริญญาเอกจากมหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ และในเดือนตุลาคม เขาได้รับเลือกให้เป็นไพรซ์ เฟลโลชิป ที่ทรีนิตีคอลเลจ ในช่วง ค.ศ. 1933 – 37 ในระหว่างนี้ เขาได้คุ้นเคยกับเซอร์อาร์เธอร์ เอดดิงตัน และศาสตราจารย์ อี เอ ไมลน์

เดือนกันยายน ค.ศ. 1936 จันทรเศขรกลับไปแต่งงานที่อินเดีย กับละลิถะ โทไรสวามี ซึ่งเป็นรุ่นน้องเขา 1 ปี ทั้งสองเคยรู้จักกันเมื่อครั้งเรียนที่เปรซิเดนซี คอลเลจ ในเมืองมัทราส ในอัตชีวประวัติโนเบลนั้น จันทรเศขรเขียนไว้ว่า “ความเข้าใจอย่างอดทน การสนับสนุน และกำลังใจจากละลิถะ นับเป็นหัวใจหลักในชีวิตข้าพเจ้า”

การทำงาน

ปีต่อมา กล่าวคือ เดือนมกราคม ค.ศ. 1937 จันทรเศขรได้รับเลือกให้ทำงานในมหาวิทยาลัยชิคาโก ในตำแหน่งผู้ช่วยศาสตราจารย์ และได้รับตำแหน่ง Morton D. Hull Distinguished Service Professor of Theoretical Astrophysics เมื่อ ค.ศ. และได้รับการยกย่องเป็นศาสตราจารย์เกียรติคุณ เมื่อ ค.ศ. 1985

จันทรเศขรเคยทำงานที่หอดูดาวเยิกส์ (Yerkes Observatory) ในเมืองวิลเลียมส์ เบย์ รัฐวิสคอนซิน ซึ่งดำเนินการโดยมหาวิทยาลัยชิคาโก เมื่อองค์การนาซาได้สร้างห้องปฏิบัติการเพื่อการวิจัยด้านฟิสิกส์ดาราศาสตร์และอวกาศ (Laboratory for Astrophysics and Space Research หรือ LASR) เมื่อ ค.ศ. 1966 ที่มหาวิทยาลัยแห่งนี้ จันทรเศขรได้ครอบครองพื้นที่หนึ่งในสี่ของสำนักงานบนชั้นที่สอง และได้อาศัยอยู่ห่างจากมหาวิทยาลัยราวหนึ่งไมล์ หลังจากมีการสร้างกลุ่มอาคารที่พักขึ้นเมื่อปลายทศวรรษ 1960

"จันทรา เป็นหนึ่งในนักฟิสิกส์ดาราศาสตร์ที่ยิ่งใหญ่ในยุคนี้ เขาแสดงให้เห็นว่า ดาวแคระขาวไม่อาจมีมวลเกินขีดจำกัด
นั่นคือ มวลในระดับที่ก่อให้เกิดการระเบิดของซูเปอร์โนวา และให้ความสว่างสูงสุดในท้องฟ้า
จันทรายังเป็นครูสอนภาษาอังกฤษที่ยิ่งใหญ่ที่สุดเท่าที่ผมรู้จัก"
[2][3]

ฮันส์ เบเทอ, นักฟิสิกส์รางวัลโนเบล ค.ศ. 1967, และศาสตราจารย์เกียรติคุณฟิสิกส์แห่งมหาวิทยาลัยคอร์แนลล์

ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 จันทรเศขรทำงานที่ห้องปฏิบัติการวิจัยขีปนศาสตร์ ที่เอเบอร์ดีน พรูฟวิง กราวนด์ ในรัฐแมรีแลนด์ ขณะอยู่ที่นั่น เขาได้ทำงานเพื่อแก้ปัญหาด้านขีปนศาสตร์ เช่น รายงานสองชิ้น ในปี ค.ศ. 1943 เรื่อง On the decay of plane shock waves และ The normal reflection of a blast wave ต่อมาได้เข้าร่วมงานกับห้องปฏิบัติการลอส อะลามอส ที่มีชื่อเสียง แต่ในที่สุดก็เลิกในที่สุด

ขณะที่จันทราและภรรยาอยู่ในอเมริกา บิดาที่อยู่ในอินเดียคอยหาตำแหน่งงานที่ดีไว้ให้ เพื่อหวังว่าลูกชายจะได้กลับไปบ้านเกิด แต่ในที่สุดจันทราก็ได้สิทธิเป็นพลเมืองของสหรัฐอเมริกา เมื่อ ค.ศ. 1953

ระหว่าง ค.ศ. 1952 - 1971 จันทรเศขรรับหน้าที่เป็นบรรณาธิการของวารสาร Astrophysical Journal (ApJs) โดยได้ปั้นแต่งจากวารสารท้องถิ่น ให้หลายเป็นวารสารชั้นนำด้านฟิสิกส์ดาราศาสตร์ในระดับนานาชาติ

จันทรเศขรได้พัฒนารูปแบบการทำงานต่อเนื่องในด้านฟิสิกส์สาขาหนึ่ง ๆ โดยเฉพาะเป็นเวลานาน, ด้วยเหตุนี้ ชีวิตการทำงานของเขาจึงอาจแบ่งได้เป็น 7 ช่วง ดังนี้

  1. โครงสร้างของดาว รวมทั้งทฤษฎีดาวแคระขาว ระหว่าง ค.ศ. 1929 - 1939
  2. พลวัตของดาว และการเคลื่อนที่แบบบราวน์ ระหว่าง ค.ศ. 1939 – 1943
  3. ทฤษฎีการถ่ายโอนการแผ่รังสี ทฤษฎีบรรยากาศของดาวฤกษ์ ทฤษฎีควันตัมของไอออนลบของไฮโดรเจน และทฤษฎีบรรยากาศของดาวเคราะห์ รวมทั้งทฤษฎีการสว่างและการเกิดขั้วของท้องฟ้าที่มีแสงแดด ระหว่าง ค.ศ. 1943 – 1950
  4. เสถียรภาพอุทกพลศาสตร์ และอุทกศาสตร์เชิงแม่เหล็ก รวมทั้งทฤษฎีการพาเรย์เล-เบอร์นาร์ด จาก ค.ศ. 1950- 1961
  5. สมดุลและเสถียรภาพของค่าอีลิปซอยด์ของสมดุล แต่ได้ศึกษาสัมพัทธภาพทั่วไปด้วย ในช่วงทศวรรษ 1960
  6. ทฤษฎีทั่วไปแห่งสัมพัทธภาพ และฟิสิกส์ดาราศาสตร์เชิงสัมพัทธภาพ ระหว่าง ค.ศ. 1962-1971
  7. ทฤษฎีคณิตศาสตร์ของหลุมดำ ระหว่าง ค.ศ. 1974 - 1983

คุณครูชื่อจันทรา

เมื่ออยู่ที่มหาวิทยาลัยชิคาโก จันทราทำหน้าที่เป็นนักวิจัยและอาจารย์ ที่ดูแลเอาใจใส่ลูกศิษย์อย่างใกล้ชิด นับเป็นแบบอย่างที่ดีของนักศึกษาที่ศึกษากับท่าน โดยได้ดูแลงานวิจัยระดับปริญญาเอกของนักศึกษากว่า 50 ราย ตัวอย่างที่ทราบกันดีอย่างหนึ่ง ก็คือ การอุทิศตนในการสอนอย่างดียิ่งในช่วงทศวรรษ 1640 ที่ต้องขับรถไปกลับกว่า 100 ไมล์ต่อสัปดาห์ เพื่อสอนนักศึกษาเพียงสองคนเท่านั้น และในเวลาไม่นานต่อมา ในปี ค.ศ. 1957 นักศึกษาทั้งชั้น (สองคนนั้น) ก็ได้รับรางวัลโนเบลสาขาฟิสิกส์ นั่นคือ หลี่เจิ้งเต้า (T.D. Lee) และ หยางเจิ้นหนิง (C.N. Yang)

นอกจากงานด้านวิทยาศาสตร์ จันทรเศขรยังเขียนหนังสือเล่มหนึ่ง เมื่อ ค.ศ. 1987 ว่าด้วยปรัชญาสุนทรียศาสตร์ในวิทยาศาสตร์ เรื่อง Truth and Beauty: Aesthetics and Motivations in Science และมักจะบรรยายถึงความสัมพันธ์ระหว่างศิลปะและวิทยาศาสตร์อยู่เสมอ

ระหว่าง ค.ศ. 1990 – 1995 จันทรเศขรมุ่งมั่นทำโครงการอย่างหนึ่ง เพื่ออธิบายการอ้างเหตุผลทางเรขาคณิตใน Philosophiae Naturalis Principia Mathematica ของไอแซค นิวตัน โดยใช้ภาษาและระเบียบวิธีของแคลคูลัสธรรมดา ความพยายามดังกล่าวปรากฏผลในหนังสือเรื่อง Newton's Principia for the Common Reader ตีพิมพ์เมื่อ ค.ศ. 1995

วาระสุดท้าย

จันทรเศขรทำงานในมหาวิทยาลัยชิคาโก ตั้งแต่ ค.ศ. 1937 โดยเบื้องต้นได้ทำงานที่หอดูดาวเยิกส์ และต่อมาได้ทำงานที่สถาบันวิจัยเฟอร์มี กระทั่งถึงแก่กรรม อายุได้ 84 ปี เมื่อ ค.ศ. 1995

ใกล้เคียง

สุพรหมัณยัน จันทรเศขร สุพรรณิการ์ สุพรรณ บูรณะพิมพ์ สุพรรษา เนื่องภิรมย์ สุพรรณิการ์ จำเริญชัย สุพรรณ สันติชัย สุพร ปีนะกาตาโพธิ์ สุพรรณ ทองสงค์ สุพรรณษา เวชกามา สุพรรณบุรี