ในฐานะผู้กุมอำนาจวุยก๊ก ของ สุมาสู

ในรัชสมัยพระเจ้าโจฮอง

ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ในช่วงแรก

สุมาสูปกครองบ้านเมืองอย่างมีประสิทธิภาพและยุติธรรม เขาสั่งให้ข้าราชการแนะนำคนมีความสามารถแก่เขา กำหนดลำดับชั้น ดูแลความยากจนและเด็กกำพร้า และจัดการกับเรื่องบุคลากรที่ล่าช้า

ไม่นานหลังจากสุมาอี้เสียชีวิต พระเจ้าโจฮองทรงแต่งตั้งสุมาสูเป็น General-in-Chief Who Pacifies the Army (撫軍大將軍) ในปลายปี 251 เตงงายซึ่งเป็น Grand Administrator of Chengyang ส่ง memorial มายังราชสำนักโดยกล่าวว่า ชนเผ่าซงหนูภายใต้เล่าเป๋าเริ่มแข็งแกร่งเกินไป โดยเตงงายเสนอให้มอบยศและรางวัลแก่เผ่าซงหนูเพื่อให้แตกแยกและอ่อนแอลง และเพื่อให้พวกเขาตั้งถิ่นฐานห่างออกไปจากคนจีน และสอนพวกเขาใหม่ด้วยวัฒนธรรมจีน สุมาสูเห็นด้วย

ประมาณต้นปี 252 สุมาสูเลื่อนยศเป็น General-in-Chief (大將軍) รวมถึง Palace Attendant (侍中) ทำให้สุมาสูมีอำนาจควบคุมทหารทั้งในและนอกราชสำนัก เขายังได้รับอำนาจใน Imperial Secretariat (錄尚書事)

มีอยู่ครั้งหนึ่งที่มีคนขอให้สุมาสู้แก้กฎหมาย สุมาสูตอบว่า "กวีเคยสรรเสริญผู้ที่ปฏิบัติตามหลักการของพระเจ้าแห่งสวรรค์และปรากฏราวกับว่าพวกเขาไม่รู้อะไรเลย สถาบันและกฎที่คิดค้นโดยบรรพบุรุษของทั้งสามราชวงศ์ควรได้รับการปฏิบัติตาม หากไม่มีสงครามก็ไม่ควรมีการปฏิรูปอย่างเร่งด่วน"

ศึกหับป๋า

สุมาสูต้องการแสดงว่าตนเป็นผู้นำทหารที่มีความสามารถ ในปลายปี 252 สุมาสูนำทัพบุกง่อก๊กหลังจากพระเจ้าซุนกวนสิ้นพระชนม์และซุนเหลียงพึ่งขึ้นครองราชย์โดยมีจูกัดเก๊กเป็นผู้สำเร็จราชการ จูกัดเก๊กเอาชนะทัพของสุมาเจียวได้ในศึก Dongxing แต่สุมาสูก็ยังรักษาหน้าได้โดยการยอมรับข้อผิดพลาดและเลื่อนยศให้แก่นายพลที่พยายามคัดค้านการบุกง่อก๊ก ในปี 253 หลังจากสุมาสูเอาชนะทัพของจูกัดเก๊กได้ ชื่อเสียงของเขาจึงเลื่องลือขึ้น อำนาจของเขาก็มั่นคงขึ้นไปอีก

ปลดพระเจ้าโจฮอง

ในปี 254 สุมาสูระแวงว่าพระเจ้าโจฮองทรงสมคบคิดกับ Li Feng (李豐) ในการจะกำจัดสุมาสู เขาจึงเรียก Li Feng มาสอบสวน เมื่อ Li Feng ไม่ยอมตอบว่าคุยอะไรกับพระเจ้าโจฮอง สุมาสูจึงจัดการฆ่า Li Feng ด้วยด้ามดาบ หลังจากนั้นจึงกล่าวหาว่า Li Feng แฮหัวเทียน และ Zhang Ji (張緝) เป็นกบฏและสั่งประหารพร้อมทั้งครอบครัว พระเจ้าโจฮองถูกบังคับให้ปลด Empress Zhang ผู้เป็นภรรยา และเป็นลูกสาวของ Zhang Ji ออก พระเจ้าโจฮองทรงพิโรธจากการตายของ Li Feng และ Zhang Ji มาก และในปลายปี 254 ที่ปรึกษาของพระเจ้าโจฮองบอกพระเจ้าโจฮองเกี่ยวกับแผนที่จะให้ฆ่าสุมาเจียวที่จะเดินทางมาที่วังเพื่อยึดกองกำลังไปโจมตีสุมาสู พระเจ้าโจฮองไม่ได้ตัดสินใจทำตามแผนนั้น เมื่อสุมาสูทราบถึงแผนดังกล่าวจึงปลดพระเจ้าโจฮองออกแต่ก็ไม่ได้ฆ่าและคืนยศเดิม (Prince of Qi) ให้ เมื่อสุมาสูบอก Empress Dowager Guo ว่าเขาต้องการจะแต่งตั้ง Cao Ju (曹據) น้องชายของพระเจ้าโจผีเป็นจักรพรรดิ เธอบอกว่าการกระทำดังกล่าวไม่เหมาะสม เนื่องจาก Cao Ju เป็นลุงของโจยอย, such a succession would leave Cao Rui effectively sonless with no heir. สุมาสูจึงต้องเห็นด้วยกับนาง และแต่งตั้งโจมอเป็นจักรพรรดิแทนตามคำแนะนำของนาง โจมอซึ่งในขณะนั้นอายุ 14 ปี เป็นที่รู้จักในความเฉลียวฉลาด ทำให้ Empress Dowager Guo เชื่อว่าเขาอาจจะมีโอกาสในการต่อกรกับตระกูลสุมา

ในรัชสมัยพระเจ้าโจมอ

กบฏ Shouchun ครั้งที่สอง และการเสียชีวิต

ถึงกระนั้น Empress Dowager Guo และพระเจ้าโจมอไม่สามารถหยุดยั้งอำนาจที่เพิ่มขึ้นของตระกูลสุมาได้ หลังจากการปลดพระเจ้าโจฮอง บู๊ขิวเขียมและบุนขิมก่อกบฏ แต่ก็ถูกสุมาสูกำจัดอย่างรวดเร็ว บู๊ขิวเขียมถูกฆ่า และครอบครัวถูกประหาร บุนขิมและลูกชายของเขาหนีไปยังง่อก๊ก

ศึกนี้ส่งผลต่อสุมาสู ในช่วงต้นของการก่อกบฏ สุมาสูมีอาการเจ็บป่วยที่ตาและพึ่งผ่าตัดเสร็จ เขาไม่เต็มใจที่จะนำทัพเองและต้องการให้สุมาหูผู้เป็นลุงนำทัพไปปราบบู๊ขิวเขียมและบุนขิม ด้วยคำร้องขอของ Wang Su, Fu Gu (傅嘏) และจงโฮย เขาจึงตัดสินใจนำทัพเอง แต่ระหว่างที่ถูกบุนเอ๋งผู้เป็นบุตรชายของบุนขิมเข้าโจมตี สุมาสูที่เกิดความกังวลมีอาการกำเริบที่ตา ทำให้ลูกตาหลุดออกมา อาการป่วยจึงทรุดลงเรื่อย ๆ หลังจากปราบกบฏได้ไม่ถึงหนึ่งเดือน สุมาสูเสียชีวิตที่ลกเอี๋ยง โดยสุมาเจียวผู้เป็นน้องชายสืบทอดอำนาจต่อ