เบื้องหลัง ของ สู่ความหวังใหม่

อับดุลเลาะห์

บทเพลงอับดุลเลาะห์ เริ่มต้นเกิดขึ้นมาจากการที่ระพินทร์ เคยเขียนเพลง “บุหงาอันดามัน” ให้กับวงกะท้อนในอัลบั้ม ญี่ปุ่น-ยุ่นปี่ ถึงเรื่องราวของพี่น้องชาวใต้ในก่อนหน้านี้ เมื่อเริ่มมาทำเพลงให้กับวงซูซู จึงเริ่มจับประเด็นที่หนักขึ้น ถึงปัญหาใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ เพื่อสอดคล้องแก่โครงการฮารับปันบารูในขณะนั้น ผนวกกับการที่ระพินทร์คิดว่าควรจะมีเพลงที่เกี่ยวกับเพลงที่เกี่ยวข้องกับภาคใต้สักเพลง ในการที่ระพินทร์ได้ลงไปทัวร์คอนเสิร์ตทางภาคใต้ แล้วพบทั้งปัญหาค่าใช้จ่ายสูง และเดินทางลำบาก หากวงไม่แข็งจริงจะไม่เหลือตังค์กลับบ้านเลย ตามคำบอกเล่าของเขา โดยเดิมทีชื่ออัลบั้มและชื่อของเพลงนี้ได้ถูกตั้งชื่อว่า “มูฮัมมัด” มาก่อน[ต้องการอ้างอิง] แต่เนื่องจากความเกี่ยวพันทางด้านศาสนาอิสลาม ที่เป็นปัญหาละเอียดอ่อน จากการปรึกษาท่านจุฬาราชมนตรี ที่ไม่สามารถนำชื่อนี้มาทำเป็นเพลงเพื่อความบันเทิงได้ ถ้าเป็นลูกของท่านก็พอจะอนุโลมได้ แต่ขอให้มีสาระเพื่อส่วนรวม จึงต้องเปลี่ยนมาเป็น ‘อับดุลเลาะห์ (อับดุลลอฮ)’ หรือ ‘สู่ความหวังใหม่’ ในที่สุด นอกจากนี้ยืนยงยังได้มาร่วมร้องเพลงนี้เพื่อความแข็งแรงทางด้านการตลาด พร้อมทั้งแนะนำให้ระพินทร์ตะโกนคำว่า อัสลามูอาลัยกุม ในช่วงเริ่มเพลงเพื่อเป็นการทักทายแก่พี่น้องชาวมุสลิมอีกด้วย

ใครสักคน

แม้จะได้ถูกเลือกให้มาเป็นเพลงที่ 2 ประจำอัลบั้มชุดนี้ แต่จริงๆ แล้วเพลงนี้กลับเป็นเพลงสุดท้ายที่ได้ถูกเขียนขึ้นมาไว้ในชุดนี้ โดยนำเค้าโครงมาจากเรื่องราวชีวิตจริงจากเพื่อนของระพินทร์ที่รู้จักกัน ซึ่งมีจุดเริ่มต้นจากการที่เขากำลังนั่งดีดกีต้าร์โปร่งแล้วนึกทำนองขึ้นมาได้ จึงได้มอบให้ศักดิ์สิทธิ์เป็นผู้ประพันธ์เพลงนี้ .. “เพื่อนฉันมันเรียนอย่างเดียว ไม่ต้องทำงานแล้ว เมียหมอนวดมันส่งเรียน” - ระพินทร์[ต้องการอ้างอิง] จนลงตัวออกมาเป็นเพลง ใครสักคน ในอัลบั้มสู่ความหวังใหม่ได้ในที่สุด

อ้อล้อ

คือเพลงที่ยืนยง เขียนขึ้นมาได้กว่า 80% ระพินทร์จึงได้ขอรับมาทำต่อให้เสร็จ ด้วยการให้เพิ่มเนื้อหาที่เกี่ยวข้องกับ “ยาดอง” เข้าไปในท้ายเพลงด้วย และเพลงนี้เป็นเพลงที่ใช้เวลาในการเลือกนักร้องอยู่พอสมควร เพราะตัวของระพินทร์เองขอเลือกที่จะไม่ร้องเพลงนี้ หรือจะเอาพันทิวาก็เสียงเหน่อไป จึงได้ตัดสินใจเลือกมือกลองอย่างอู๊ดมาร้องเพลงนี้ แม้ตัวเขาเองจะปฎิเสธไป แต่ระพินทร์ก็ได้ให้เหตุผลแนะนำไปว่าเป็นเพลงดีที่ควรจะร้อง คนฟังจะได้สนใจในการตีกลองของเขาด้วย จนเขาต้องยอมร้องในที่สุด[ต้องการอ้างอิง]

“เป็นมติของทางวงเขานะ เขาเห็นว่าเสียงแปลกดี ไม่ใช่นักร้อง พอร้องหวานๆ ก็ร้องไม่ได้ บังคับเสียงไม่เป็น เสียงมันก็ออกมาดิบๆ ตอนร้องก็หลายเทค (หัวเราะ) สั่นน่าดู ยากนะ ใครมาลองร้องเพลงดูสิ แล้วจะรู้ โอ้โห อย่าบอกใครเลย” - อู๊ด ยานนาวา[ต้องการอ้างอิง]

ม้งลงแดง

เพลงนี้มาจากเค้าโครงจากเรื่องราวของ วีระศักดิ์ ขุขันธิน (ผู้ประพันธ์เพลงนี้) ที่ได้นำเรื่องราวมาจากการตนเคยกินเหล้าข้าวโพดกับพี่น้องชาวม้งอยู่บ่อยครั้ง ในช่วงที่เคยเข้าป่าไปเป็นคอมมิวนิสต์มาก่อนหน้านี้ จนลงตัวออกมาเป็นเพลง ม้งลงแดง ในเวลาต่อมา[ต้องการอ้างอิง]

บ่อสร้างกางจ้อง

ในช่วงที่ต้องเริ่มทำอัลบั้มกัน ระพินทร์ , ศักดิ์สิทธิ์ และวีระศักดิ์ ได้พากันเดินทางขึ้นไปทางภาคเหนือ เพื่อเริ่มหาข้อมูลเขียนเพลงให้กับอัลบั้ม โดยมีคอนเซปต์ไว้ในใจเเล้วว่า จะต้องมีเพลงโจ๊ะเป็นเพลงนำร่องในอัลบั้มชุดนี้ด้วย ทั้ง 3 ได้พักอยู่ทางภาคเหนือถึง 1 อาทิตย์ด้วยกัน เเละได้เก็บข้อมูลจากหลายๆสถานที่ โดยหนึ่งในสถานที่ก็คือ หมู่บ้านทำร่มบ่อสร้าง ใน อ.สันกำเเพง จังหวัดเชียงใหม่ ศักดิ์สิทธิ์ได้มีความประทับใจกับร่มที่มีสีสันสวยงาม และพบกับแม่ค้าขายร่มจากหมู่บ้านทำร่มบ่อสร้างที่เป็นคนยิ้มแย้มแจ่มใส เมื่อกลับมาถึงที่พัก ศักดิ์สิทธิ์จึงได้จับปากกาเขียนเพลงจากภาพความประทับใจนั้นออกมา ภายในระยะเวลาเพียงแค่คืนเดียว ในชื่อของ สาวบ่อสร้าง แต่เนื่องจากศักดิ์สิทธิ์เห็นว่าชื่อเพลงนั้นไปคล้ายกับชื่อเพลงสาวรำวงที่ตนเคยเเต่งไว้ในอดีต จึงได้เปลี่ยนมาเป็น บ่อสร้างกางจ้อง และเมื่อทางวงได้มอบเพลงนี้ให้พันทิวาได้ลองร้องเพื่อทำการออดิชันก่อนเข้าวง ก็กลับลงตัวอย่างไม่น่าเชื่อ[ต้องการอ้างอิง] จึงได้รับพันทิวาเข้ามาเป็นนักร้องนำ พร้อมกับมอบเพลงนี้ให้เขาร้อง จนทำให้หลายคนได้รู้จักชื่อของ ทอม ดันดี จากเพลงนี้ในเวลาต่อมา นอกจากนี้เพลงนี้ยังได้ถูกเคยนำไปใช้ประกอบในพิธีเปิดแข่งขันกีฬาแห่งหนึ่ง ณ. สนามสมโภช 700 ปี เชียงใหม่อีกด้วย[ต้องการอ้างอิง]

ยับเยิน

ยับเยิน เป็นเพลงที่วีระศักดิ์ ตั้งใจเขียนขึ้นมาให้กับตัวของพันทิวาได้ร้องเอาไว้โดยเฉพาะ และยังได้ยืนยงมาร่วมโซโล่กีตาร์ให้กับเพลงนี้ในท่อนกลางและท่อนจบในเพลงนี้อีกเช่นเคย

“... ถ้าเพลงอย่างยับเยิน เรียกว่าเป็นเพลงเพื่อชีวิต ผมว่ามันยังทำงานได้อีกเยอะเลย เพราะว่ามันง่ายๆ ชัดเจนโดยแง่คิด สมมติว่ามันเป็นเพลงเพื่อชีวิตโดยอารมณ์ หัวข้อมันตั้งขึ้นมาก็ต้องเป็นเพลง ‘เพื่อชีวิต’ แล้วล่ะ ไม่ได้หลุดไปจากตรงนี้ เพียงแต่ว่าแง่มุมไหนที่จะให้มันง่ายหน่อย” - วีระศักดิ์ให้ความเห็นกับนิตยสารสีสัน ถึงทิศทางความตันของเพลงเพื่อชีวิตในเวลานั้น โดยยกยับเยิน ผลงานของตนมาเป็นตัวอย่าง[ต้องการอ้างอิง]