การศึกกับอะแซหวุ่นกี้ ของ หมิงรุ่ย

ดูบทความหลักที่: สงครามจีน-พม่า

หมิงรุ่ยได้ทำการแบ่งทหารออกเป็นสองส่วน

  • ทัพแรกมีกำลังพล 20000 นายบุกเข้าโจมตีเมืองกองตนซึ่งมีทหารรักษาเมือง 7,000 นาย มีบาลามินดินเป็นแม่ทัพ เพื่อไม่ให้พม่านำทัพกลับมาตลบหลังกองทัพหลักของหมิงรุ่ย เมื่อพิชิตได้แล้วให้มาบรรจบกันที่กรุงอังวะคอยเป็นกำลังเสริม
  • ส่วนทัพหลักของหมิงรุ่ย 30000 นาย ยกมาเผชิญหน้ากับอะแซหวุ่นกี้ซึ่งคุมทหาร 20,000 นาย การรบเป็นไปอย่างรุนแรงทั้ง 2 ฝ่ายต่างใช้กลยุทธ์รบพุ่งใส่กัน สุดท้ายหมิงรุ่ยสามารถขับไล่อะแซหวุ่นกี้จนถอยร่นออกไปได้ จากนั้นหมิงรุ่ยจึงค่อยๆพิชิตไปทีละเมืองอย่างรอบคอบเพื่อรักษาเส้นทางเสบียงและเส้นทางกองหนุนเอาไว้ โดยตลอดทางหมิงรุ่ยไม่พ่ายแพ้แก่ผู้ใดเลยจนลึกเข้ามาถึงชานเมืองอังวะห่างออกไปไม่ถึง 50 กิโลเมตร ในขณะนั้นพระเจ้ามังระ ยกกองทัพออกไปรับศึกด้วยพระองค์เอง แต่ยังไม่ทันได้รบพุ่งถึงขั้นแตกหักข่าวก็แจ้งมาถึงหมิงรุ่ยว่า อะแซหวุ่นกี้ได้นำทัพที่ซุ่มเอาไว้ย้อนกลับไปตีเมืองต่างๆคืนได้หมดแล้วและกำลังใกล้บุกมาถึงที่นี่แล้ว ส่วนกองทัพอีกเส้นหนึ่งก็พ่ายแพ้ไม่สามารถตีเมืองกองตนได้และถอนกำลังกลับต้าชิงไปแล้ว
  • ในตอนนี้ทัพรองแตกพ่าย ทัพหนุนถูกทำลาย เส้นทางเสบียงถูกตัดขาด หมิงรุ่ยรู้ถึงจุดจบของศึกครั้งนี้ทันที แต่เขาก็เลือกที่จะตายอย่างสมศักดิ์ศรีในฐานะนักรบ ดีกว่าถูกจับในฐานะเชลย รวมถึงกองทัพแปดกองธงที่พร้อมจะติดตามเขา หมิงรุ่ยตัดสินใจทำศึกสุดท้ายแต่แล้วกองทัพของพระเจ้ามังระและอะแซหวุ่นกี้ ก็สามารถพิชิตกองทัพของหมิงรุ่ยลงได้ในยุทธการณ์เมเมียว โดยหมิงรุ่ยได้สั่งให้ทหารที่เหลือไม่ถึง 1000 คนยอมแพ้ ส่วนตัวเองเลือกจะผูกคอตายเพื่อแสดงความรับผิดชอบต่อความพ่ายแพ้ในครั้งนี้ เป็นการจบสงครามจีน-พม่าครั้งที่ 3 ลงอย่างสิ้นเชิง[1][2][3]

หมิงรุ่ยยังมีศักดิ์เป็นพระญาติกับเสี้ยวเสียนฮองเฮา และเป็นหลานของฟู่เหิงองค์มนตรีแห่งจักรพรรดิเฉียนหลงอีกด้วย