ประวัติ ของ หยัด_ช้างทอง

หยัด ช้างทอง เกิดเมื่อวันที่ 24 เมษายน พ.ศ. 2462 ที่บ้านริมคลองประปา แขวงจระเข้น้อย เขตลาดกระบัง กรุงเทพมหานคร เป็นบุตรของยอด และถนอม ช้างทอง สมรสกับผิว ทองอยู่ เมื่อปี พ.ศ. 2490 มีบุตรธิดา 2 คน คือ พเยาว์ พุกบุญมี และยงยุทธ ช้างทอง

หยัดเข้ารับการศึกษาที่โรงเรียนวัดรัชดาธิษฐาน จนจบการศึกษาชั้นประถมปีที่ 4 มีจิตใจชอบการแสดงโขนจึงไม่คิดที่จะศึกษาต่อทางด้านวิชาสามัญ หยัดจึงสมัครเข้าเป็นศิษย์ของพานัส โรหิตาจล ศิลปินโขนผู้มีชื่อเสียงและเป็นศิษย์เอกของพระยาพรหมาภิบาล (ทองใบ สุวรรณภารต) นาฏศิลปินโขนยักษ์ ตัวเอกในรัชกาลที่ 6 บุตรของทองอยู่ พี่ชายต่างมารดา ของพระยานัฏกานุรักษ์ (ทองดี สุวรรณภารต) อดีตเจ้ากรมโขนหลวง หยัดได้ฝึกหัดโขนเป็นตัวยักษ์อยู่กับพานัส จนมีความชำนาญในการแสดงโขน สามารถออกโรงแสดงได้ โดยเริ่มตั้งแต่ยักษ์ต่างเมือง เช่น สัทธาสูร มูลพลัม มังกรกัณฐ์ แสงอาทิตย์ จนกระทั่งแสดงเป็นยักษ์ใหญ่ คือเป็นทศกัณฐ์ได้เป็นอย่างดี เป็นที่พอใจของพานัส ผู้เป็นครูเป็นอย่างมาก

เมื่อคณะโขนของพานัส ไปแสดงที่ใดก็ตาม หยัดก็จะติดตามไปแสดงด้วยทุกครั้ง ถ้าไม่มีงานแสดงของตน พานัสก็อนุญาตให้หยัดไปร่วมแสดงโขนกับคณะอื่นได้ การที่หยัดได้มีโอกาสไปแสดงกับโขนคณะอื่นนั้น ทำให้รู้จักมักคุ้นกับเพื่อนศิลปินมากขึ้น ประกอบกับหยัดเป็นคนเรียบร้อย อ่อนน้อมถ่อมตน มีความสามารถในด้านการแสดงสูง จึงเป็นที่พอใจของครูมัลลี คงประภัศร์ หรือที่ศิลปินโขนละครรู้จักกันในนาม “ย่าหมัน” เจ้าของโขนคณะไทยศิริ จึงได้ชักชวนให้หยัดไปสมัครเข้ารับราชการในกรมศิลปากร หยัดจึงนำเรื่องนี้ไปเรียนปรึกษากับพานัส พานัสก็เห็นดีและมีความชื่นชมที่ศิษย์จะได้เข้ารับราชการ มีความเจริญก้าวหน้า จึงสนับสนุนให้หยัดไปสมัครเข้ารับราชการในกรมศิลปากรในปี พ.ศ. 2484 หยัดได้รับการบรรจุเป็นข้าราชการพลเรือนวิสามัญอยู่ 3 ปี จนถึงปี พ.ศ. 2487 จึงได้รับการบรรจุเป็นข้าราชการพลเรือนสามัญ ตำแหน่งศิลปินจัตวา อัตราเงินเดือน 24 บาท

หลังสงครามโลกครั้งที่สอง นาฏศิลป์โขนเสื่อมลง เนื่องจากขาดผู้สนับสนุนและประชาชนก็หันไปสนใจการแสดงแบบตะวันตกมากขึ้น ผู้บังคับบัญชาในกรมศิลปากรขณะนั้น จึงให้ศิลปินโขนทั้งหมดแยกย้ายกันไปหัดดนตรีสากล เพื่อจะได้ออกแสดงในงานต่าง ๆ แทนการแสดงโขน หยัดต้องไปหัดเป่าบาสซูน (Bassoon) ซึ่งตนไม่ถนัดและไม่เคยสนใจมาก่อน จึงทำให้เป่าบาสซูนได้ไม่ดีเท่าที่ควร

ต่อมากรมศิลปากรได้ฟื้นฟูการแสดงโขน ละครขึ้นมาใหม่ แล้วนำออกแสดงให้ประชาชนชมทุกวันศุกร์ เสาร์ อาทิตย์ สัปดาห์ละ 7 รอบ ที่โรงละครศิลปากร ซึ่งตั้งอยู่ข้างพระที่นั่งศิวโมกขพิมาน ในบริเวณพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ (โรงละครนี้ได้ถูกไฟไหม้ไปหมด เมื่อคืนวันที่ 9 พฤศจิกายน พ.ศ. 2503) และยังได้ปรับปรุงการเรียนการสอนของโรงเรียนนาฏศิลป (ปัจจุบันเป็นวิทยาลัยนาฏศิลป) โดยหาครูมาสอนและรับสมัครนักเรียนเพิ่มขึ้น ในระยะนี้หยัดจึงกลับมาแสดงโขนตามเดิม และเป็นครูสอนวิชานาฏศิลป์โขนฝ่ายยักษ์ให้แก่นักเรียนนาฏศิลป์

เนื่องจากหยัดเป็นผู้ที่สนใจใฝ่หาวิชาความรู้ทางด้านนาฏศิลป์อยู่เสมอ จึงได้ฝากตัวเป็นศิษย์ของหลวงวิลาศวงงาม (หร่ำ อินทรนัฏ) ศิลปินอาวุโสซึ่งท่านเป็นผู้แสดงโขนในสมัยรัชกาลที่ 6 และนอกจากหลวงวิลาศวงงามแล้ว อร่าม อินทรนัฏ บุตรชายของหลวงวิลาศวงงาม ทศกัณฐ์ผู้มีฝีมือเป็นเอกของกรมศิลปากรก็ได้แนะนำสั่งสอนวิชาการทางด้านนาฏศิลป์ให้แก่หยัดเพิ่มเติมอีกด้วย

เมื่อท่านผู้หญิงแผ้ว สนิทวงศ์เสนี[1] ได้เข้ามารับราชการในตำแหน่งผู้เชี่ยวชาญนาฏศิลป์ไทยของกรมศิลปากร หยัดก็ได้ฝากตัวเป็นศิษย์ของท่านผู้หญิงแผ้ว และได้รับการถ่ายทอดวิชาการด้านนาฏศิลป์โขน ละคร และชุดเบ็ดเตล็ดต่าง ๆ เพิ่มขึ้น จนหยัดสามารถแสดงละครเป็นตัวเอกได้หลายเรื่อง เช่น ท้าวพันธุมสุริยวงศ์ ในละครเรื่องพระร่วง ชาละวัน ตัวจระเข้ และท้าวรำไพ ในละครเรื่องไกรทอง พระพันวษา และขุนแผน ในละครเสภาเรื่องขุนช้างขุนแผน เป็นต้น