หลักการอนุมาน ของ หลักฐานทางวิทยาศาสตร์

ส่วนนี้รอเพิ่มเติมข้อมูล คุณสามารถช่วยเพิ่มข้อมูลส่วนนี้ได้

ข้อสมมุติหรือความเชื่อที่บุคคลมีเกี่ยวกับความสัมพันธ์ของสิ่งที่สังเกตเห็นกับสมมติฐานหนึ่ง ๆ จะมีผลว่า บุคคลนั้นจะเห็นสิ่งที่สังเกตว่าเป็นหลักฐานหรือไม่[1]และจะมีผลว่าบุคคลนั้นจะใช้สังเกตการณ์ที่ได้เป็นหลักฐานอย่างไรยกตัวอย่างเช่น ความรู้สึกว่าโลกอยู่นิ่ง ๆ อาจจะใช้เป็นหลักฐานของสมมติฐานว่าโลกเป็นศูนย์กลางจักรวาลแต่ว่า หลังจากที่ได้หลักฐานพอสมควรเกี่ยวกับจักรวาลที่มีพระอาทิตย์เป็นศูนย์กลาง และหลังจากที่ได้อธิบายว่าทำไมโลกจึงดูเหมือนนิ่ง สังเกตการณ์ที่ได้ในตอนแรกนั้นก็จะยกเลิกใช้เป็นหลักฐาน

เมื่อผู้สังเกตการณ์แม้มีเหตุผลมีพื้นเพความเชื่อต่าง ๆ กัน พวกเขาอาจจะสรุปได้ต่าง ๆ กันแม้ใช้หลักฐานเดียวกันยกตัวอย่างเช่น โจเซ็ฟ พริสต์ลีย์ อธิบายการสลายตัวของเมอร์คิวรี(II) ออกไซด์โดยใช้ทฤษฎี phlogiston ที่ตนเชื่อ ในขณะที่อ็องตวน ลาวัวซีเยอธิบายสิ่งที่สังเกตเห็นโดยใช้ทฤษฎีธาตุเกี่ยวกับออกซิเจน[2]

ให้สังเกตว่า ความเป็นเหตุผลระหว่างสิ่งที่สังเกตกับสมมติฐานจริง ๆ ไม่มี ที่จะให้สิ่งที่สังเกตได้การยอมรับว่าเป็นหลักฐาน[1]แต่ว่า เป็นบุคคลที่ต้องการจะแสดงว่าสิ่งที่สังเกตว่าเป็นหลักฐาน ที่ให้ความเป็นเหตุผล

วิธีการแบบรูปนัยที่สามารถใช้แสดงผลของพื้นเพความเชื่อก็คือ การอนุมานแบบเบย์ (Bayesian inference)[3]คือ ความเชื่อจะแสดงเป็นเปอร์เซ็นต์ว่ามั่นใจว่าถูกต้องแค่ไหนโดยเริ่มจากค่าความน่าจะเป็นเบื้องต้น (คือ ความน่าจะเป็นก่อน) แล้วอัพเดตความน่าจะเป็นนี้โดยใช้ทฤษฎีความน่าจะเป็นแบบเบย์หลังจากที่ได้สังเกตเห็นหลักฐาน[4]และดังนั้น ผู้สังเกตการณ์สองคนที่ไม่เกี่ยวข้องกัน ที่เห็นเหตุการณ์เดียวกัน จะถึงข้อสรุปที่ต่างกันถ้าค่าความน่าจะเป็นก่อนต่างกันแต่ว่า ถ้าติดต่อสื่อสารกันได้ ผู้สังเกตการณ์สองคนอาจจะตกลงกันได้

ใกล้เคียง

หลักฐานโดยเรื่องเล่า หลักฐานเชิงประสบการณ์ หลักฐานทางวิทยาศาสตร์ หลักสูตร หลักระวังไว้ก่อน หลักการใช้กำลัง หลักสูตรออกแบบตกแต่งภายในในประเทศไทย หลักเกณฑ์การถอดอักษรไทยเป็นอักษรโรมันแบบถ่ายเสียงของราชบัณฑิตยสถาน หลักการอิสลาม หลักเกณฑ์การทับศัพท์ของราชบัณฑิตยสถานและสำนักงานราชบัณฑิตยสภา