ประวัติ ของ หลี่_หมิง

ชีวิตช่วงแรก (พ.ศ. 2509-2527)

บรรพบุรุษของหลี่หมิงเป็นชาวจีนแคะ (客家) ที่เดิมมีพื้นเพอาศัยในเขตเหม่ยเชี่ยน (梅县区) เมืองเหมยโจว (梅州市) มณฑลกวางตุ้ง (廣東省) ประเทศจีน

พ่อของหลี่หมิงมีชื่อว่า หลี่ซินเฉิง เขามีเชื้อสายจีน-อินโดนีเซีย จบการศึกษาในระดับปริญญาตรีที่มหาวิทยาลัยปักกิ่งในปีพ.ศ. 2493 (1950) ปู่ของหลี่หมิงเป็นเจ้าหน้าที่กองทัพอากาศก๊กมินตั๋ง ต่อมาพ่อของเขาได้ไปทำงานในอำเภอซีเฉิง (西城區) เป็นเขตที่ตั้งอยู่ทางตะวันตกของใจกลางเมืองกรุงปักกิ่งและได้พบรักกับแม่ของเขาที่อาศัยอยู่ที่นั้นในซอยแกะ (羊肉胡同) ในเขตชานเมืองของกรุงปักกิ่ง และเป็นบ้านเกิดของหลี่หมิง

หลี่หมิง มีชื่อเดิมว่า หลี่เจี่ย (黎捷) เกิดเมื่อวันที่ 11 ธันวาคม พ.ศ. 2509 (1966) ที่กรุงปักกิ่งประเทศจีนและเป็นลูกโทน พอเขาเกิดได้ไม่นานพ่อของเขาได้ย้ายไปทำงานที่ประเทศฮ่องกงจนสร้างตัวได้และมีฐานะร่ำรวย ต่อมาในปีพ.ศ. 2513 (1970) เมื่อหลี่หมิง อายุได้ 4 ขวบคุณแม่ก็ได้พาเขาย้ายตามคุณพ่อไปอยู่ที่ฮ่องกง

แต่แล้วในปีพ.ศ. 2523 (1980) ในขณะที่หลี่หมิง อายุได้ 14 ปี พ่อและแม่ของเขาได้ทำการหย่ากันและหลี่หมิงอยู่ในความดูแลของคุณพ่อ เหตุการณ์นี้ได้สร้างความเสียใจให้แก่หลี่หมิงเป็นอย่างมาก และเพื่อที่จะบรรเทาผลกระทบทางด้านจิตใจของหลี่หมิง คุณพ่อของเขาได้ส่งตัวเขาไปยังสหราชอาณาจักรเพื่อศึกษาต่อที่โรงเรียนมัธยมปรินซ์ตัน (King's Way Princeton College) ซึ่งเป็นวิทยาลัยที่ตั้งอยู่ที่เซาท์วาร์ค (Southwark) ในย่านเลวิแชม (Lewisham) ที่ ลอนดอน สหราชอาณาจักร จนถึงปีพ.ศ. 2527 (1984) หลี่หมิงในวัย 18 ปี ได้ศึกษาจนจบในระดับชั้นม.6 และไม่ได้ศึกษาต่อในระดับปริญญาตรี เพราะโรคไซนัสอักเสบที่เขาเป็นอยู่ เป็นสาเหตุที่ทำให้เขาต้องกลับไปที่บ้านพักแถวจิมซาจุ่ยในฮ่องกงเพื่อทำการรักษา

เข้าสู่วงการบันเทิง (พ.ศ. 2528-2532)

หลังจากรักษาสุขภาพจนหายเป็นปกติแล้วเขาได้เริ่มทำงานเป็นพนักงานขายของในบริษัทโทรศัพท์มือถือแห่งหนึ่งและในช่วงนี้เองที่เขาได้พบกับนาย หว่องฮัวฉี (黃華麒) หรือที่รู้จักกันในนาม แฟรงคลิน หว่อง โดยบังเอิญ ซึ่งในตอนนั้นเขาคนนี้เป็นทั้งผู้กำกับภาพยนตร์-ผู้อำนวยการสร้างละครโทรทัศน์ฮ่องกงและยังเป็นผู้อำนวยการด้านการแพร่ภาพกระจายเสียงแห่งฮ่องกงอีกด้วย เขาได้ชักชวน หลี่หมิงให้เข้ามาเล่นเป็นตัวประกอบในภาพยนตร์ที่เขากำกับและยังแนะนำให้หลี่หมิงเข้าไปสมัครคัดเลือกเป็นนักแสดงของทางสถานีโทรทัศน์เอทีวี ที่กำลังเปิดรับสมัครอยู่ในขณะนั้น และแน่นอนเขาก็สามารถผ่านการคัดเลือกเลยต้องออกจากงานประจำที่ทำอยู่เพื่อเข้าไปอบรมหลักสูตรการแสดงในรุ่นเดียวกับ จางเหมี่ยน (張敏) แต่อย่างไรก็ตามเขากลับสอบไฟนอลไม่ผ่านทำให้เขาเรียนไม่จบหลักสูตรการแสดงกับทางค่ายเอทีวี จากนั้นเขาก็ไปยื่นใบสมัครเข้าเรียนหลักสูตรการแสดงที่สถาบันศิลปะการแสดงของฮ่องกง (the Hong Kong Academy for Performing Arts) แต่การสมัครของเขาถูกปฏิเสธ

บนความโชคร้ายยังคงมีความโชคดีอยู่บ้างในช่วงฤดูร้อนของปีพ.ศ. 2528 (1985) หลี่หมิงได้ถูกชักชวนจากแมวมองท่านหนึ่งที่เห็นแววรุ่งของเขาจึงได้แนะนำให้หลี่หมิงเข้าร่วมการประกวดร้องเพลงในรายการ ค้นคว้าหาดาวครั้งที่ 5 ในปีพ.ศ. 2529 (the New Talent Singing Awards 1986) ซึ่งเป็นรายการประกวดร้องเพลงที่คัดเลือกนักร้องหน้าใหม่เข้าสู่วงการบันเทิงจัดการประกวดโดยสถานีโทรทัศน์ทีวีบี (TVB) และผู้ชนะเลิศการประกวดในปีนั้นเป็นผู้หญิง คือ คุณเหวินเผ่ยหลิง (文佩玲) ส่วน หลี่หมิงก็สามารถคว้ารางวัลรองอันดับสองมาครองได้สำเร็จ ซึ่งบนเวทีการประกวด หลี่หมิงมีบุคลิกที่โดดเด่นเป็นอย่างมากอีกทั้งยังมีใบหน้าที่หล่อเหลาสะดุดตาผู้ชมทำให้ทางสถานีโทรทัศน์ทีวีบียื่นข้อเสนอให้เขาเข้ามาเป็นนักแสดงในสังกัดทันที ถือได้ว่าเป็นการเปิดประตูเข้าสู่วงการบันเทิงอย่างเต็มตัวของเขานับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาและเริ่มมีผลงานทางจอแก้วในปีนั้นเลย แต่เนื่องจาก หลี่หมิงไม่ได้เป็นนักเรียนการแสดงของทางค่ายโดยตรง ทำให้ในช่วงแรกทางช่องให้เขาแสดงชิมลางไปก่อนเพื่อดูกระแสตอบรับจากผู้ชมในตัวเขากับผลงานภาพยนตร์โทรทัศน์เรื่อง สายรักสายสัมพันธ์ (She’s not my mother 1986) ซึ่งเป็นภาพยนตร์โทรทัศน์จบภายใน 60 นาที และบทบาทรับเชิญในซิทคอม เรื่องชีวิตคนเมือง (City Japes 1986) เพื่อเป็นการปูทางก่อนที่จะผลักดันให้เขาได้มีผลงานแสดงละครหลายตอนอย่างเต็มตัว

ต่อมาเขาได้มีโอกาสลงเล่นละครอย่างเต็มตัว และมีผลงานเรื่องแรกในชีวิตการแสดงของเขาคือการรับบทตัวร้ายในละครเรื่อง ศักดิ์ศรีลูกผู้ชาย (Foundlings Progress) เป็นละครที่ออนแอร์ลงสู่จอทีวีในปีพ.ศ. 2530 (1987) และเป็นละครฟอร์มเล็กแถมไม่ยาวอีกต่างหาก แต่กลับฮิตถล่มทลายอย่างไม่น่าเชื่อทำให้ทั้งหลี่หมิงและนักแสดงชายดาวรุ่งอีกคน คือ หลินจุ้นเสียน แจ้งเกิดกับผลงานละครเรื่องนี้ทันที ส่วนดารานำในเรื่อง คือ เฉินหมิ่นเอ๋อ และ เซียะหนิงเป็นตัวเอก หลังจากแจ้งเกิดกับละครเรื่องนี้แล้ว หลี่หมิงได้กลายเป็นดาวรุ่งมาแรงคนหนึ่งของทางช่องจากนั้นได้มีโอกาสขยับจากบทตัวร้ายมาเป็นพระรองเล่นประกบกับดาราสาวดาวรุ่งมาแรงอีกคน หลอฮุ่ยเจียน ในละครเรื่อง ทำไมเป็นแค่เพื่อน (A Friend in Need 1988) โดยมีเยิ่นต๊ะหัว เป็นพระเอก และดาราสาว ชีเหม่ยเจิน เป็นนางเอก และยังเป็นละครที่รวมดาราหน้าใหม่ดาวรุ่งมาเล่นอีกหลายคน ได้แก่ เส้า จงเหิง, หลิน จุ้นเสียน และ เหลียง เพ่ยหลิง ตามต่อด้วยภาพยนตร์โทรทัศน์ 53 นาทีจบ เรื่องคู่รักมฤตยู (Deadly Lovers 1988) เมื่อทางช่องเห็นแววรุ่งจากผลตอบรับที่ดีของผู้ชมละคร จึงทำให้เขาได้มีโอกาสรับบทเป็นพระเอกเต็มตัวในละครถัดมาเรื่อง ศึกชิงบัลลังก์ (Bing Kuen 1988) โดยได้ประกบกับดาราสาว เส้าเหม่ยฉี ในขณะที่ทางช่องกำลังผลักดันส่งเสริมเขาอย่างเต็มที่แต่แล้วก็เกิดปัญหาขึ้นในช่วงที่กำลังถ่ายทำละครเรื่องนี้ หลีหมิง เกิดป่วยเป็นไข้อยู่บ่อย ๆ และมากองถ่ายสายเกือบทุกคิว ทำให้ทั้งผู้กำกับไปจนถึงนักแสดงด้วยกันในละครเรื่องนี้ต่างไม่พอใจเป็นอย่างมากเมื่อเรื่องมาสายของเขาถึงหูผู้ใหญ่ของทางสถานีโทรทัศน์ทีวีบี ทำให้เขาถูกแช่แข็งเป็นเวลา 6 เดือนเพื่อเป็นการสั่งสอน เป็นผลให้ละครถัดมาเรื่อง จอมทัพจิ้นบุ้นกง (Chun Mun Kong Chuen Kei 1989) ที่เขาเล่นประกับ หลอฮุ่ยเจียน ถูกดองไม่ได้ออกอากาศฉายทางฮ่องกง แต่โชคยังดีที่ได้ไปออกอากาศฉายในตลาดต่างประเทศแทนและก็ได้รับความนิยมทั้งใน สิงค์โปร์ และมาเลเซีย ในช่วงที่เขาถูกทางช่องทีวีบีแช่แข็งอยู่นั้นแต่แล้วเขาได้รับการติดต่อเป็นครั้งแรกให้ไปร่วมแสดงละครของทางไต้หวันกับทางสถานีโทรทัศน์ซีทีวี (CTV) ในเรื่อง พายุแห่งชีวิต (風雲時代 1990) ซึ่งเรื่องนี้ก็ได้รับความนิยมในไต้หวัน

หลังจากโดนทางช่องทีวีบีทั้งแช่แข็งและดองงานละครไม่ให้ออกอากาศเพื่อแก้นิสัยมาสายของเขาแล้ว แต่เมื่อเขากลับเข้ามาเล่นละครอีกครั้งก็ยังคงได้รับการส่งเสริมผลักดันจากทางช่องอย่างเต็มที่และมีผลงานยอดนิยมตามมา ได้แก่ กลับเมืองจีนดีกว่า (Yankee Boy 1989) ประกบ นักแสดงสาวสวย หลี เหม่ยเสียน และ โจวเสียนนักร้องเสียงทอง (Song Bird 1989) ประกบกับดาราสาวหน้าใหม่อย่างเฉิน สงหลิง ซึ่งทั้งสองเรื่องนี้ต่างทำให้ หลี่หมิงได้รับความนิยมเพิ่มมากยิ่งขึ้น

ยุคทอง (พ.ศ. 2533-2540)

ผลงานละครสุดฮิตเรื่อง มรสุมสายเลือด (Challenge of Life 1990) ออนแอร์ลงสู่จอเป็นละครดราม่าเข้มข้นโดยที่เขาได้แสดงฝีมือประชันบทบาทกับหลิวชิงหวิน, หลีเหม่ยเสียน และ หลอฮุ่ยเจียน ซึ่งผลงานละครเรื่องนี้ได้รับการตอบรับจากผู้ชมดีมาก จนมาถึงผลงานละครที่ทำให้เขาเริ่มเข้าสู่ยุคทองทางด้านการแสดงจอแก้วและเป็นคู่ขวัญกับดาราสาวชื่อดังในยุคนั้น อย่าง โจว ไห่เม่ย ในเรื่อง ย้อนรักรอยอดีต (Cherished Moments 1990) และยังเป็นผลงานที่ทำให้ทั้งคู่พบรักกัน หลังจากที่โจวไห่เม่ยเพิ่งเลิกลา กับหลี่ เหลี่ยงเหว่ย มาได้สักพักจนเธอได้มาพบรักกับหลี่หมิงจากการเล่นละครร่วมกันในเรื่องนี้ จนมาถึงละครที่ทำให้ทั้งสองยิ่งดังระเบิดกับผลงานเรื่องถัดมาที่ทั้งคู่ได้แสดงร่วมกันอีกครั้งในเรื่อง เพื่อนรักเพื่อนแค้น (The Breaking Point 1991) หลังจากละครเรื่องนี้เขาได้ก้าวขึ้นเป็นพระเอกยอดนิยมแถวหน้าคนหนึ่งของทางของค่ายทีวีบี และเป็นช่วงที่เขามีชื่อเสียงโด่งดังกับผลงานเพลงของเขาที่มีอัลบั้มออกมาอย่างต่อเนื่องและประสบความสำเร็จทุกอัลบั้มจนได้รับฉายาว่าเป็นหนึ่งใน จตุรเทพ ของวงการนักร้องฮ่องกง ร่วมกับ หลิวเต๋อหัว, กัวฟู่เฉิง และ จางเซียะโหย่ว ทั้งสี่คนเป็นขวัญใจวัยรุ่นหนุ่มสาวในยุคนั้นเป็นอย่างมาก และแน่นอนว่าเมื่อผลงานเพลงประสบความสำเร็จทำให้ผลงานทางด้านละครก็ต้องลดลงตามไปด้วยเพราะเขาไม่ค่อยมีเวลารับเล่นละคร แต่ก็ยังพอมีผลงานที่ประสบความสำเร็จอยู่บ้าง เช่น เทพบุตรผู้พิชิต (The Legendary Ranger 1993) ที่รับบทนำประกบกับนักแสดงสาวสวยในยุคนั้นมากมาย อย่าง หลี่ เจียซิน, จู อิน, หง ซิน และ นักร้องสาวดาวรุ่งดวงใหม่ หวัง จิงเหวิน แต่ทว่าละครเรื่องนี้กลับไม่ประสบความสำเร็จเท่าเรื่อง เพื่อนรักเพื่อนแค้น เพราะเนื้อหาของบทละครที่อ่อนนั่นเอง

หลังจากละครเรื่องนี้หลี่หมิงกลับมีชื่อเสียงโด่งดังไปทางด้านผลงานเพลงมากกว่าและต่อมาหลังจากหมดสัญญาการเป็นนักแสดงกับทางสถานีโทรทัศน์ทีวีบีเขาก็หันไปเอาดีทางด้านภาพยนตร์อย่างเต็มตัวควบคู่ไปกับการร้องเพลง (ซึ่งในความเป็นจริงเขาเคยผ่านการเล่นภาพยนตร์มาบ้างแล้วและประสบความสำเร็จในระดับหนึ่ง) ส่วนละครเรื่องสุดท้ายกับทางค่ายทีวีบีในปีพ.ศ. 2537 (1994) คือเรื่อง สวัสดีคุณครู (Class of Distinction 1994) ที่ประกบกับนักแสดงหน้าใหม่มากมาย อย่าง ซุนซวน, จูเจี้ยนจวิน และ หลีฉีหง หลังจากหันหลังให้กับการเล่นละครก็ประเดิมการแสดงภาพยนตร์เรื่อง รันชายเดียวในหัวใจ (仙人掌 1994) เป็นภาพยนตร์ที่ฉายเฉพาะในฮ่องกง ตามด้วยผลงานภาพยนตร์ที่ได้รับความนิยมเรื่อง ผู้หญิงข้าใครอย่าแตะ ภาคพิเศษ (Love And The City , 都市情緣 1994) และ นักฆ่าตาชั้นเดียว (墮落天使 1995) จนมาถึงผลงานที่เขาได้ร่วมแสดงนำกับราชินีจอเงิน อย่าง จางม่านอวี้ ในภาพยนตร์รักโรแมนติก เรื่อง เถียน มี มี่ 3650 วันรักเธอคนเดียว (甜蜜蜜 1996) ผลงานการกำกับของ ปีเตอร์ ชาน โดยใช้เพลงเถียนมี่มี่ ของ เติ้ง ลี่จวิน เป็นเพลงประกอบภาพยนตร์ เมื่อออกฉายได้กลายเป็นหนังที่ได้รับความสำเร็จอย่างท่วมท้นทั้งรายได้และรางวัล จนปีต่อมานิตยสารไทม์ จัดให้เป็นภาพยนตร์แนวรักโรแมนติกที่ดีที่สุดเป็นอันดับสองของโลกในปีพ.ศ. 2540 (1997) ตามต่อด้วยผลงานเรื่อง คนตัดคนภาคพิเศษ ตอน กำเนิดเกาจิ้ง (賭神三之少年賭神 1997) และ ชีวิตข้า...ขอกล้าที่จะรัก (半生緣 1997) ซึ่งทั้งสองเรื่องก็ได้รับความนิยมมากเช่นกัน

ผลงานในยุคหลัง (พ.ศ. 2541-ปัจจุบัน)

หลังจากที่ฮ่องกงได้เปลี่ยนแปลงการปกครองจากอังกฤษกลับคืนสู่ประเทศจีน เมื่อวันที่ 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2540 (1997) วงการบันเทิงฮ่องกงก็ค่อย ๆ เริ่มเข้าสู่ยุคตกต่ำในตลาดเอเชียมาตั้งแต่นั้น โดยถูกส่วนแบ่งการตลาดเอเชียกับทั้งภาพยนตร์และละครซีรีส์จากประเทศอื่น ๆ เช่น ไต้หวัน, จีน และเกาหลี โดยเฉพาะภาพยนตร์และซีรีส์เกาหลี ในตอนนั้นสามารถไปตีตลาดนอกประเทศเกาหลีได้สำเร็จและไปดังในหลาย ๆ ประเทศในแถบเอเชีย และเกิดกระแสฟีเวอร์ดาราเกาหลีขึ้นมาแทนโดยเฉพาะในประเทศไทย เป็นผลทำให้ทั้งภาพยนตร์และละครดังในฮ่องกงหลายเรื่องไม่ได้ไปแพร่หลายตามตลาดเอเชีย และถึงแม้จะมีผลงานดังในฮ่องกงบางเรื่องได้นำออกสู่ตลาดเอเชีย แต่ก็ไม่ได้รับความนิยมหรือประสบความสำเร็จเหมือนดั่งในอดีตอีกเลย

ถึงแม้จะมีผลกระทบดังกล่าว แต่สำหรับชาวฮ่องกงยังคงให้ความนิยมในตัวของ หลี่หมิง เหมือนเดิม ผลงานภาพยนตร์ในยุคหลัง ๆ ของเขาที่ยังคงประสบความสำเร็จในฮ่องกงและในบางประเทศมีหลายเรื่อง เช่น คนบินตอร์ปิโด (神偷次世代 2000), นักฆ่า ล่าทะลุมิติ (天使夢 2000), ฝ่าเกมรักกับดักอันตราย (不死情謎 2001), อารมณ์ อาถรรพณ์ อาฆาต (三更 2002), อึดคู่อันตราย (雙雄 2003), ปิดตำนานสองคนสองคม (無間道III終極無間 2003), 7 กระบี่เทวดา (七劍 2005), จอมใจบัลลังก์เลือด (江山美人 2008), 5 พยัคฆ์พิทักษ์ซุนยัดเซ็น (十月圍城 2009) และ มังกรสร้างชาติ (建國大業 2009) เป็นต้น และในปีพ.ศ. 2558 (2015) ภาพยนตร์เรื่อง หยางกุ้ยเฟย สนมเอกสะท้านแผ่นดิน (Lady of the Dynasty 2015) ได้สร้างความเกรียวกราวเป็นอย่างมากเมื่อมีฉากอีโรติกที่เขามีเซ็กซ์บนหลังม้าอันแสนเร่าร้อนกับดาราสาวฟ่าน ปิงปิง จนถูกกองเซ็นเซอร์ของจีนตัดฉากนี้ออกไป

หลังจากที่โลดแล่นกับผลงานภาพยนตร์อยู่นาน แต่แล้วในปีพ.ศ. 2561 (2018) หลี่หมิงได้กลับไปร่วมงานแสดงละครกับทางสถานีโทรทัศน์ทีวีบีอีกครั้งหลังจากที่เขาไม่ได้ร่วมงานกับทางค่ายทีวีบีมานานถึง 24 ปี โดยประเดิมกับผลงานละครเรื่องสยบฟ้าพิชิตปฐพี (ever night 2018) และมีผลงานแนวสากลแอ็คชั่น ตามมาอีกเรื่อง คือ เทพบุตรล่าล้างทรชน (Overseas security officer 2018) โดยรับบทเป็น เว่ยเทียน อดีตเจ้าหน้าที่ปฏิบัติการณ์พิเศษคุ้มครองคนระดับวีไอพี (VIP) ที่ไปมีส่วนร่วมในภารกิจระดับชาติ ร่วมแสดงกับ หลี่ไคซิน และ หยางเล่อ