ที่มา ของ อวตังสกสูตร

ในระยะกาลระหว่างพุทธปรินิพพานแล้ว 500 ปี พระสูตรอันลึกซึ้งนี้ยังไม่ถึงอันจะแพร่หลายได้ถูกประดิษฐานซ่อนเร้นอยู่ในนาคมณเฑียร ณ เมืองใต้บาดาล จนถึงสมัยท่านคุรุนาคารชุนท่านลงไปเมืองพญานาคท่องพระสูตรนั้นจนจำได้คล่องแคล้วแล้วขึ้นมาแพร่หลายแก่มนุษย์ เชื่อกันว่าพระสูตรนี้มีด้วยกัน 3 ฉบับที่แพร่หลายเป็นฉบับเล็ก ส่วนฉบับใหญ่นั้นมีโศลกนับด้วยอสงไขยโกฏิ [1]

ก่อนแสดงพระสูตรนี้ ณ สถานที่ต่าง ๆ พระพุทธองค์จะทรงเข้าฌานสมาบัติ เรียกว่า "สาครมุทราสมาธิ" (海印三昧) อุปมาดังวายวายุจักสงบนิ่ง หมู่คลื่นเงียบงัน วารีในมหาสาครนิ่งสนิทราวกับผืนกระจก แล้วบัดนั้นสรรพสิ่งทั่วสากลจักรวาลจักสะท้อนลงบนผืนน้ำนิ่งใส เสมือนดั่งพระพุทธองค์ทรงกอปรด้วยคุณอันประเสริฐคือความอันสงบรำงับ แลใสกระจ่างสะท้อนสรรพสิ่งทั้งมวลให้เป็นหนึ่งในพุทธภาวะ และยังทรงปราศจากคลื่นคือปรากฏการณ์แห่งจิตอันความแบ่งเขาแบ่งเรา แบ่งนั่นแบ่งนี่ ด้วยเหตุนี้จึงขนานนามฌานสมาบัตินี้ว่า สาครมุทราสมาธิ เป็นหัวใจแห่งอวตังสกสูตร กล่าวคือ เมื่อจิตสงบรำงับ ก็เหมือนมหาสาครไร้คลื่น จักทราบว่าปรากฏการณ์ทั้งมวลล้วนไม่ผิดอะไรกับคลื่นไหวระลอก แม้นคลื่นน้อยใหญ่จะผิดแผกกันไป แต่ล้วนมีธรรมชาติเดียวกัน คือน้ำทะเลในมหาสาคร [2]

อนึ่ง สัปตสถาน-นวสันนิบาต (七處九會) คือสถานที่ซึ่งพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงเข้าฌานสมาบัติสาครมุทราสมาธิ แล้วทรงแสดงอวตังสกสูตรแก่สรรพสัตว์ทั้งหลาย ตั้งแต่โลกมนุษย์จนถึงสวรรค์ชั้นต่างๆ การแสดงพระธรรมครั้งต่างๆ นั้น ได้กลายมาเป็นอวตังสกสูตร พระสูตรที่ยาวที่สุดสูตรหนึ่งของพุทธศาสนาฝ่ายมหายาน [3]