การบำเพ็ญภาวนา ของ อสังคะ

มารดาของท่านอสังคะมีนามว่า ประติษศีล มีศรัทธาประสาทะในพุทธศาสนาอย่างแรงกล้ากับทั้งยังรู้ซึ้งในพระธรรมคำสอนยิ่งนัก เมื่อท่านยังเยาว์มารดาได้สั่งสอนสรรพวิชาคือศิลปศาสตร์ทั้ง 18 แขนงจนเชี่ยวชาญ กระทั่งเจริญวัยขึ้นมารดาได้ซักถามท่านอสังคะและท่านวสุพันธุว่า จะใช้ชีวิตเยี่ยงคฤหัสถ์ ด้วยการสมรสและรับภารกิจต่อจากผู้เป็นบิดา หรือว่าจะอุปสมบทเป็นพระภิกษุและกระทำกิจเกื้อหนุนสรรพสัตว์ทั้งหลาย ท่านอสังคะและพี่ชายตัดสินใจเป็นบรรพชิต

ท่านอสังคะพำนักอยู่ ณ อารามแห่งหนึ่ง เฝ้าเพียรศึกษาพระธรรมจนสามารถสาธยายพระธรรมนับพันๆ โศลกจนขึ้นใจ ท่านยังศรัทธาในพระศรีอารยะเมตไตรย โพธิสัตว์เป็นอย่างยิ่ง จึงดั้นด้นไปกระทำสมาธิภาวนาที่ภูปักษา เฝ้าทำกรรมฐานจดจ่อที่พระเมตไตรยโพธิสัตว์ หลังจากกำหนดจิตกรรมฐานนานถึง 3 ปี มิได้เกิดผลอันใด ท่านรู้สึกท้อแท้ใจจึงเริ่มคิดจะล้มเลิกการบำเพ็ญภาวนาเสีย

ขณะลงจากเขา ท่านแลเห็นกาตัวหนึ่งโผบินกลับรัง ขณะที่มันถลาใกล้ถึงรวงรังนั้นปีกของมันถูเข้ากับแผ่นหินของหน้าผาจนเกิดเป็นรอยขึ้น ด้วยความที่มันบินไปบินมาหลายครั้งหลายครา ท่านอสังคะเห็นดังนั้น จึงรำพึงว่า "เรามิควรท้อแท้ใจโดยง่าย ดูอย่างกาตัวนี้ โผบินไปมากลับรวงรัง จนปีกมันยังทำให้แผ่นผาเป็นรอยได้" คิดได้ดังนั้น ท่านจึงหวนกลับไปบำเพ็ญเพียรต่ออีก 3 ปี

หลังจากผ่านไปอีก 3 ปี ท่านยังรู้สึกไม่พึงใจ ด้วยไม่มีความก้าวหน้าอันใด จึงตัดสินใจละทิ้งการบำเพ็ญภาวนาอีกครั้ง ทว่า ระหว่างที่ลงจากเขาท่านได้ยินเสียงน้ำหยดลงหิน จึงพิจารณาดูเห็นว่า หยดน้ำนั้นยังทำให้ศิลาอันแข็งแกร่งเกิดรูลึกได้ ท่านจึงรำพึงว่า "แม้แต่สิ่งที่อ่อนที่สุดอย่างน้ำยังก่อให้เกิดรูบนก้อนศิลาได้ เราควรจะบำเพ็ญภาวนาต่อไป หากเราปรารถนาจะยังให้เกิดความเปลี่ยนแปลงอันยิ่งใหญ่ในตัวเอง" ท่านจึงหวนกลับไปยังถ้ำอีกครั้ง เพื่อทำวิปัสนากรรมฐานอีก 3 ปี และด้วยความพากเพียรยิ่งกว่า ปีที่ผ่านมาๆ

แม้จะยากเย็นเพียงใดก็ตาม เวลาก็ผ่านไปอีก 3 ปี ท่านเกิดท้อแท้อีกครั้ง และดำเนินลงจากเขาเข้าไปยังหมู่บ้านใกล้ๆ กันนั้น แลเห็นชายชรากำลังฝนแท่งเหล็กกับเสื้อผ้าฝ้ายอันบางเบาเพื่อทำให้เป็นเข็ม และได้ทำสำเร็จมาแล้วหลายต่อหลายเล่ม ท่านจึงฉุกคิดว่า "แม้แต่การทำเรื่องเล็กน้อยเช่นนี้ยังต้องอาศัยความพยายามอย่างยิ่งยวด เราจึงควรอย่างยิ่งยวดยิ่งกว่าเพื่อบรรลุธรรม" จากนั้นท่านจึงหวนกลับไปบำเพ็ญเพียรอีก 3 ปี

กระนั้น ก็ตามเมื่อเวลาผ่านไปทั้งหมดแล้วถึง 12 ปี ท่านก็ยังไม่ประสบความสำเร็จอันใด วันหนึ่งท่านมายังหมู่บ้าน ได้ยินเสียงสุนัขตัวหนึ่งคร่ำครวญด้วยความเจ็บปวด ท่านจึงมองหาจนพบมันนอนทิ้งร่างกายเน่าเปื่อยให้นอนชอนไช เหลือเพียงขาหน้ากับบางส่วนของร่างเท่านั้น มันจึงทุกข์ทรมานยิ่งท่านอสังคะรู้สึกเจ็บปวดไปกับมัน จึงฉวยเอาแท่งไม้ หวังจะเขี่ยหนอนออกจากแผล แต่เมื่อไม้แตะที่มันเท่านั้น สุนัขตัวนี้ก็ร้องโหยหวนด้วยความเจ็บปวด ท่านจึงพยายมหยิบหนอนด้วยมือ แต่มันก็ยังเจ็บปวดอย่างสุดแสนยามที่นิ้วถูกแผลเน่าเปื่อย

ท่านอสังคะจึงรำพึงว่า เราควรใช้ลิ้นเขี่ยหนอนออกจึงจะควร แต่ในพลันที่ลิ้นของท่านสัมผัสกับสุนัข ร่างของมันแปรเปลี่ยนเป็นพระวรกายของพระศรีอารยะเมตรไตรย โพธิสัตว์ บังเกิดรัศมีแผ่นซ่านไปทั่วทุกสารทิศ ท่านอสังคะยินดีปรีดายิ่งนัก แต่เกิดความแคลงใจจึงซักถามพระโพธิสัตว์ผู้จะตรัสรู้เป็นพระอนาคตพุทธะว่า ข้าแต่พระโพธิสัตว์ ข้าพระองค์จึงต้องผ่านความทุกข์ลำเค็ญมากมาย แต่ไฉนกลับไม่แสดงพระองค์แก่ข้าเล่า?"

พระโพธิสัตว์ดำรัสตอบว่า "เราอยู่กับท่านเสมอมา แต่ที่ท่านมิอาจแลเห็นเรา ด้วยความเมตตาอันไพศาลของท่านต่อสุนัขอนาถา ยังให้อกุศลกรรมทั้งหลายของท่านถูกขจัดสิ้น จึงสามารถแลเห็นเราได้ในที่สุด หากท่านไม่เชื่อคำของเรา จงแบกเราขึ้นไหล่ แล้วไต่ถามใครๆ ดูว่า ได้แลเห็นสิ่งใดฤๅ"

ท่าอสังคะจึงแบกพระโพธิสัตว์ไว้บนเหนือไหล่ แล้วเดินตรงเข้าไปยังเมือง ตะโกนถามผู้สัญจรผ่านไปมาว่า ท่านกำลังแบกสิ่งใดอยู่ หากแต่มีเพียงเสียงหัวเราะเย้ยหยันว่าท่านเป็นคนบ้า เว้นแต่หญิงชราผู้เปี่ยมเมตตาอารีเท่านั้นที่ตอบว่า แลเห็นซากสุนัขตาย ส่วนทาสผู้ซื่อสัตย์ผู้หนึ่งกล่าวว่า แลเห็นเท้าของบุคคลหนึ่งบนไหล่ท่าน ในกาลต่อมา ทาสผู้นี้สำเร็จภูมิธรรมขั้นสูงเพียงแค่แลเห็นพระบาทของพระโพธิสัตว์

หลังจากสิ้นความสงสัยแล้วว่าเหตุที่ไม่อาจเห็นพระโพธิสัตว์เพราะกรรมของสัตว์โลกได้บดบังไว้ พระโพธิสัตว์ได้ไต่ถามท่านอสังคะว่า ท่าปรารถนาในสิ่งใด ท่านตอบว่า ปรารถนาจะประกาศพระสัทธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระโพธิสัตว์จึงเชิญท่านสู่สวรรค์ชั้นดุสิต โดยเกาะชายอาภรณ์ของพระโพธิสัตว์ไป

ท่านอสังคะศึกษาพระธรรมคำสอนบนสวรรค์ชั้นดุสิตนานถึง 50 ปี จึงหวนกลับคือนสู่มนุษย์ภูมิ และเผยแผ่พระธรรมคำสอนกระทั่งละสังขารในวัย 120 ปี [11]