ภาษา ของ อาหม

ดูบทความหลักที่: ภาษาอาหม

ภาษาอาหมถือเป็นภาษาไทยุคเก่า โดย อ.วิไลวรรณ ขนิษฐานันท์ ได้แสดงความเห็นเกี่ยวกับภาษาอาหมและภาษาในจารึกสุโขทัยที่คล้ายคลึงกันมาก และมากกว่าภาษาถิ่นไทในปัจจุบัน[33] ในภาษาอาหมจะไม่มีการใช้คำราชาศัพท์ คำที่ใช้พูดอยู่ก็สามารถกับกษัตริย์หรือเจ้าได้ การแสดงออกถึงความเป็นเจ้านายทางภาษาจึงไม่มีมากนัก[34]

เมื่อเสือก่าฟ้าได้นำผู้คนอพยพเข้ามายังอัสสัม ก็พบชาวไทเข้ามาตั้งถิ่นฐานอยู่แล้ว โดยในอาหมบุราณจีได้เรียกคนกลุ่มดังกล่าวว่า ผู้เขาอันเก่า[35] และในรัชกาลของเสือก่าฟ้าก็ยังมีการแลกเปลี่ยนทูตระหว่างอาหมกับเมืองเมา จนในรัชสมัยของเสือดังฟ้าทรงปรารภในปี ค.ศ. 1382 ว่านับเวลา 8 ปีแล้วที่ไม่ได้มีสัมพันธ์ทางการทูตกับเมืองเมา ซึ่งแสดงให้เห็นถึงการติดต่อกันระหว่างอาหมกับรัฐไทกลุ่มอื่นตลอดมา แม้แต่ในรัชสมัยของเสือห่มเมืองและเสือคำฟ้า ก็ทรงอภิเษกกับสตรีชาวเมืองกอง ซึ่งเป็นเหตุให้มีชาวไทอพยพเข้ามายังเมืองนุนสุนคำมากขึ้น[35] แต่หลังปี ค.ศ. 1638 เมืองกองได้ตกเป็นเมืองขึ้นของพม่า การติดต่อจากยุติลง ประกอบการเกิดสงครามกลางเมืองของอาหม รวมทั้งการสูญเสียอำนาจของนักบวชเทวไทกับราชสำนัก ทำให้ภาษาอาหมเริ่มถูกละเลย[35] แม้จะมีชาวไทกลุ่มอื่นที่นำภาษาไท และศาสนาพุทธเข้าไป แต่ชาวอาหมก็มิได้ให้ความสนใจ[35] โดยในรัชกาลของเสือใหญ่ฟ้างำเมือง ได้มีการทะเลาะวิวาทระหว่างเทวไทอาหมกับนักบวชฮินดู เกี่ยวกับการปลงพระศพอดีตกษัตริย์ เนื่องจากประเพณีอาหมเดิมให้มีการฝัง กับประเพณีฮินดูที่ให้มีการเผาพระศพ[36]

เซอร์จอร์จ อับราฮัม กรีเออร์สัน (Sir George Abraham Grierson) ได้ระบุว่าภาษาอัสสัมเริ่มเข้ามามีอิทธิพลและเข้ามาแทนที่ภาษาอาหมประมาณต้นศตวรรษที่ 18 จาก ค.ศ. 1720 เป็นต้นมา โดยข้าราชการฮินดูที่มีตำแหน่งทางฮินดูไม่จำเป็นต้องเรียนภาษาอาหม แต่ภาษาอาหมยังถูกใช้เป็นภาษาพูดจนถึงปลายศตวรรษที่ 18 และชนชั้นพระชาวอาหมหรือเทวไท ยังคงใช้พูดระหว่างกันอีก 50 ปีต่อมา หรือจนถึงประมาณ ค.ศ. 1850[37] ส่วน S.K. Bhuyan ได้เขียนไว้เมื่อปี ค.ศ. 1930 ได้กล่าวถึงว่าในขณะนั้นมีบัณฑิตนามว่า ราย สาหิบ โคลัป จันทรา พารัว (Rai Sahib Golap Chandra Barua) เพียงคนเดียวที่รู้ภาษาอาหมจริง และไม่มีผู้ที่จะสืบความรู้นั้นได้ในระยะใกล้นั้น โดย Bhuyan ได้พยากรณ์ไว้ว่าอย่างช้าอีก 20 ปีข้างหน้า (คือในปี ค.ศ. 1950) จะไม่มีคนรู้ภาษาอาหมเลย และภาษาของผู้ปกครองอัสสัมจะกลายเป็นภาษาลึกลับที่ไม่มีนักโบราณคดีและนักภาษาผู้ใดจะไขความหมายได้[38]

ปัจจุบันแม้ชาวอาหมจะใช้ภาษาอัสสัมในการพูดและเขียนไปแล้ว แต่เหล่านักบวชและชาวอาหมทั่วไปยังคงใช้ภาษาอาหมในการสวดในพิธีกรรมทางศาสนาแบบดั้งเดิมต่าง ๆ มาจนถึงทุกวันนี้[36]ซึ่งปัจจุบันมีเทวไทที่รู้ภาษาอาหมในพิธีกรรมทางศาสนาประมาณ 100-200 คน[39]

การฟื้นฟูภาษา

มีการฟื้นฟูภาษาอาหมโดยขบวนการฟื้นฟูภาษาวัฒนธรรมอาหม โดยมีการตั้งโรงเรียนภาษาไทขึ้นที่หมู่บ้านปัตซากุ เมืองศิวสาคร เมื่อ ดร. บรรจบ พันธุเมธา นักนิรุกติศาสตร์ชาวไทย ได้เดินทางไปยังหมู่บ้านดังกล่าวในปี ค.ศ. 1955 โรงเรียนดังกล่าวก็ได้ล้มเลิกการสอนไปแล้ว เนื่องจากขาดผู้สอน[40] ในช่วงที่ผ่านมาชนชั้นพระโดยเฉพาะท่านทัมพารุธาร เทวไธ ผู้การ (Dambarudhar Deodhai Phukan, 1912-1993) หมออาวุโสแห่งหมู่บ้านปัตซากุได้เสนอให้ชาวอาหมก่อตั้งสมาคมฟื้นฟูวัฒนธรรมไทขึ้นมา ชื่อ วันออกพับลิกเมืองไท (Ban Ok Pop Lik Mioung Tai) ที่เมืองเธมชี (Dhemaji) เมื่อวันที่ 8 เมษายน ค.ศ. 1981[41][42] โดยสมาคมได้รื้อฟื้นโรงเรียนภาษาไทที่บ้านปัตซากุ และอีก 350 หมู่บ้านทั่วรัฐอัสสัม มีการผลักดันให้รัฐอัสสัมเริ่มให้การศึกษาภาษาไทระดับประถมศึกษา โดยมีการจ้างครูผู้สอนภาษาไทจำนวน 200 คน เริ่มในปี ค.ศ. 1993 ที่เมืองเธมชี โดยมีปัญญาชนอาหมคนหนึ่งชื่อ เสือดอยฟ้า เถ้าเมือง (Nagen Bargohain) ได้รวบรวมทำตำราภาษาอาหมเล่มหนึ่งเพื่อใช้เป็นบทเรียน[43] โดยสมาคมดังกล่าวได้ออกสิ่งพิมพ์และหนังสือทางวัฒนธรรมวิชาการอย่างสม่ำเสมอ[43] แต่จุดหมายระยะยาวขององค์กรคือการจัดตั้งรัฐอาหม หรือเมืองนุนสุนคำขึ้นใหม่โดยยังเป็นส่วนหนึ่งของประเทศอินเดีย รวมทั้งมีความสัมพันธ์ทางวัฒนธรรมที่ใกล้ชิดกับประเทศไทย, รัฐฉานในพม่า และเขตปกครองตนเองเต๋อหงของจีน[43]

นอกจากนี้ยังมีการจัดตั้งสมาคมวรรณกรรมไทตะวันออก (Eastern Tai Literary Association) ที่เมืองกูวาฮาติ โดยสมคมมุ่งมั่นปฏิบัติให้พัฒนาการเรียน เขียนอ่านภาษาอาหม พร้อมกันนี้ให้สนับสนุนให้ค้นคว้าศึกษาเอกสารโบราณของชาวอาหมอย่างจริงจัง การฟื้นฟูภาษาอาหมนั้นอาศัยสัทวิทยาของภาษาพี่น้อง เช่น ภาษาอ่ายตน และภาษาพ่าเก โดยภาษาดังกล่าวจะถูกเรียกว่า ภาษาไทในอัสสัม เนื่องจากประกอบไปด้วยคำไททุกกลุ่มในรัฐอัสสัม หากการฟื้นฟูดังกล่าวได้ผลภาษาเขียนในรัฐอัสสัมจะใช้อักษรอาหมเป็นหลักแทนอักษรไทอื่นๆ ในรัฐอัสสัม[44] โดยอาศัยพื้นฐานภาษาอ่ายตนในรัฐอัสสัม เนื่องจากใกล้เคียงกับภาษาอาหมมากที่สุด ชาวอาหมอาจอาศัยชาวอ่ายตนในการรื้อฟื้นภาษา[45]