อึนเจอรา (
อามารา: እንጀራ, อักษรโรมัน: ənǧära, ออกเสียง [ɨndʒəra]),
บิดเดนา (
โอโรโม: Biddeena) หรือ
ตัยทา (
ตึกรึญญา: ጣይታ, อักษรโรมัน: ṭayta) เป็น
ขนมปังแผ่นแบนชนิดหนึ่ง มีเนื้อสัมผัสเป็นรูพรุนคล้ายฟองน้ำ โดยดั้งเดิมแล้วทำจากแป้ง
เทฟฟ์ที่นำมา
หมักจนเกิด
รสเปรี้ยว อึนเจอราเป็น
อาหารหลักชนิดหนึ่งใน
เอธิโอเปีย เอริเทรีย และบางส่วนของ
ซูดาน[1][2] โดยเป็นส่วนสำคัญของมื้ออาหารเทียบเท่ากับขนมปังหรือข้าวในวัฒนธรรมอื่น ๆ
[4][5]วิธีการทำอึนเจอราแบบดั้งเดิมนั้นใช้วัตถุดิบเพียงสองอย่าง คือแป้งเทฟฟ์กับน้ำ แป้งเทฟฟ์ได้จากการบดเมล็ดของ
เทฟฟ์ (
ชื่อวิทยาศาสตร์: Eragrostis tef) ซึ่งเป็นพืชตระกูลหญ้าที่มีรับประทานและเก็บเกี่ยวมาแต่โบราณในแถบ
ที่สูงเอธิโอเปีย[6] การเพาะปลูกเทฟฟ์มีจำกัดอยู่ในพื้นที่บางแห่งที่มีระดับความสูงปานกลางและมีปริมาณน้ำฝนเหมาะสมเท่านั้น และเนื่องจากเป็นพืชที่ให้ผลผลิตน้อย
[7] จึงถือว่ามีราคาค่อนข้างแพงสำหรับครัวเรือนเกษตรกรโดยทั่วไป เนื่องจาก
เกษตรกรในเอธิโอเปียหันมาเพาะปลูกธัญพืชชนิดอื่น ๆ เช่น
ข้าวสาลี ข้าวบาร์เลย์ ข้าวโพด หรือ
ข้าวทดแทน บางครั้งจึงมีการนำแป้งที่ทำจากธัญพืชเหล่านี้มาใช้เป็นส่วนผสมของอึนเจอราแทนเทฟฟ์ เมล็ดเทฟฟ์จะถูกคัดชั้นคุณภาพตามสีของมันเพื่อนำไปใช้ทำอึนเจอราที่มีสีสันต่างกันไป ได้แก่ เนิจ ("ขาว"), เกย ("แดง") และ เซอร์เกอญา ("ผสม")
[7] นอกจากนี้ ข้อจำกัดทางทำเลที่ตั้งหรือทางการเงินของบางครัวเรือนทำให้ครัวเรือนนั้นไม่สามารถหาเทฟฟ์มาสำหรับทำอึนเจอราได้ จึงมีการนำแป้งของข้าวบาร์เลย์
ข้าวฟ่าง และ
มิลลิตมาใช้ทำอึนเจอราแทนเช่นกัน
[8] กระนั้น ก็ยังนิยมใช้เทฟฟ์ในการทำอึนเจอราเพราะสามารถให้สี กลิ่น และรสที่ดีกว่า
[7] นอกจากนี้ อึนเจอราที่ทำมาจากแป้งเทฟฟ์ยังมีสถานะทางมูลค่าที่สูงกว่า โดยที่ชนิดที่เป็นแป้งสีขาวจะมีมูลค่าและสถานะสูงกว่าชนิดแป้งสีแดง
[4]การทำอึนเจอราเริ่มจากการนำแป้งเทฟฟ์ไปผสมกับน้ำ แล้วเติมหัวเชื้อ อือร์โช ซึ่งเป็นของเหลวสีน้ำตาลเหลืองที่เอ่อขึ้นจากแป้งเทฟฟ์ที่หมักไว้ครั้งก่อน ๆ (อือร์โช ประกอบไปด้วยแบคทีเรียกลุ่มแอรอบิกหลายชนิดในสกุล
Bacillus และยีสต์หลากชนิด ได้แก่
Candida milleri,
Rhodotorula mucilaginosa,
Kluyveromyces marxianus,
Pichia naganishii และ
Debaromyces hansenii เรียงตามลำดับสัดส่วนที่พบ)
[9][7] ทิ้งไว้ให้ส่วนผสมเกิดกระบวนการหมักประมาณ 2–3 วัน แป้งหมักจะมีรสเปรี้ยวจาง ๆ จากนั้นจึงนำไปปิ้งบนเตาที่เรียกว่า มือตัด (
อามารา: ምጣድ) หรือ โมโกโก (
ตึกรึญญา: ሞጎጎ) เตา มือตัด ที่เก่าแก่ที่สุดปรากฏพบในแหล่งโบราณคดีที่มีอายุราว ค.ศ. 600
[8] ในปัจจุบันนิยมใช้เตาไฟฟ้า เนื่องจากเตาดินแบบดั้งเดิมนั้นมีประสิทธิภาพต่ำและใช้ถ่านไม้จำนวนมากกว่า ทำให้เกิดควันที่เป็นมลพิษต่อครัวเรือนและเป็นอันตรายต่อผู้คนโดยเฉพาะเด็ก
[10]