ผลงานทางดนตรี ของ ฮิลารี_ดัฟ

2002 - 2004: Lizzie McGuire to Metamorphosis

ในปี 2002 เธอได้ร้องเพลงประกอบละครโทรทัศน์ของเธอ Lizzie McGuire ในเพลง "I Can't Wait" ซึ่งมีต้นฉบับเป็นเพลงของ บรู๊ค แมคคาลล์มอนด์ และ "The Tiki Tiki Tiki Room" ในอัลบั้มแรกของ DisneyMania อัลบั้มแรกของเธอนั้นคือ Santa Claus Lane (2002) เป็นอัลบั้มรวมเพลงคริสต์มาส เพลงเธอได้ร่วมทำงานกับพี่สาวของเธอ เฮย์ลีย์ ดัฟ, ลิล โรมิโอ และคริสติน่า มิลาน แค่ซิงเกิลเพลง "Tell Me a Story (About the Night Before)" ก็สามารถทำยอดขายได้ถล่มทลาย ขึ้นสู่อันดับที่ 154 ในชาร์ตบิลบอร์ด 200 และยังได้แผ่นเสียงทองคำมาครองอีกด้วย เพลง "Santa Claus Lane" ถูกนำไปให้ประกอบภาพยนตร์เรื่อง The Santa Claus 2 และเพลง "What Christmas Should Be" ก็นำไปใช้ในภาพยนตร์ Cheaper by the Dozen อีกด้วย นอกจากจะร้องเพลง "I Can't Wait" ประกอบละครโทรทัศน์ของเธอแล้ว ในเวอร์ชันภาพยนตร์เธอยังร้องเพลง "Why Not" ประกอบในภาพยนตร์ของเธอ The Lizzie McGuire Movie ที่โด่งดังข้ามโลกไปถึงออสเตรเลีย ส่วนอัลบั้มประกอบภาพยนตร์เรื่องนี้นั้น ก็ทำยอดขายได้ดี

หลังจากนั้นเธอเริ่มทำอัลบั้มที่ 2 ทันที ที่ถือว่าเป็นสตูดิโออัลบั้มแรกของเธอ Metamorphosis (2003) อัลบั้มขึ้นชาร์ตทันทีที่วางจำหน่ายในแคนาดา ก่อนที่จะมาขายดีในอเมริกา เป็นอัลบั้มที่ประสบความสำเร็จอีกอัลบั้มหนึ่งในปีนั้น โดยมียอดรวมขายกว่า 3.7 ล้านแผ่นจนถึงเดือนพฤษภาคม 2005 ซิงเกิลเปิดตัว "So Yesterday" ติดอัลบั้ม Top 10 ไปทั่วโลก ก่อนที่ละครโทรทัศน์เรื่อง Laguna Beach นำเพลง "Come Clean" ไปใช้เป็นเพลงเปิดเรื่อง ซึ่งเพลงนั้นก็นำไปเป็นซิงเกิลที่ 2 และก็ยังสามารถติดชาร์ตไปทั่วโลกทั้งที่สหราชอาณาจักร, ออสเตรเลีย และนิวซีแลนด์ ซิงเกิลที่ 3 "Little Voice" ไม่ได้วางจำหน่ายในอเมริกา แต่จำหน่ายเฉพาะในแคนาดาและออสเตรเลีย

ปลายปี 2003 เธอจึงเริ่มออกทัวร์คอนเสิร์ตครั้งแรกใน Metamorphosis Tour และหลังจากนั้นก็มี Most Wanted Tour ซึ่งทั้ง 2 ทัวร์ของเธอ มียอดการจำหน่ายบัตรชมคอนเสิร์ตที่ขายหมดไปอย่างรวดเร็วในเดือนมกราคม 2004 อัลบั้มที่ 2 ของ DisneyMania ใน DisneyMania 2 เธอได้ร้องเพลง "The Siamese Cat Song" ร่วมกับพี่สาวของเธอ และเพลง "Circle of Life" ที่ร่วมร้องกับศิลปินของดิสนีย์ ไม่เท่านั้นสองพี่น้องดัฟยังนำเพลงของ The Go-Gos มาขับร้องใหม่ในเพลง "Our Lips Are Sealed" เพื่อนำไปประกอบภาพยนตร์ A Cinderella Story

อัลบั้มที่ 3 ของเธอ ใช้ชื่อตัวเองเป็นชื่ออัลบั้มใน Hilary Duff ที่เธอยังมีส่วนร่วมในการแต่งเพลงในอัลบั้มนี้ด้วย โดยอัลบั้มนี้เป็นการเพิ่มบุคลิกภาพใหม่ๆ เพิ่งดนตรีความเป็นร็อกมากขึ้น อัลบั้มนี้วางจำหน่ายในวันเกิดปีที่ 17 ของเธอพอดี (ในเดือนกันยายน 2004) และเปิดตัวได้ในอันดับที่ 2 ในชาร์ตบิลบอร์ด 200 และเปิดตัวอันดับที่ 1 ในแคนาดา อัลบั้มนี้ขายได้ 1.5 ล้านแผ่นใน 8 เดือน มีเพียง "Fly" เป็นซิงเกิลเดียวที่จำหน่ายในอเมริกา เพลงนี้ยังข้ามไปโด่งดังที่ออสเตรเลียด้วย และปล่อยเพลง "Someone Watching Over Me" ที่ใช้ในภาพยนตร์เรื่อง Raise Your Voice ของเธอ นอกจากนั้นเธอยังร้องเพลง "(I'll Give) Anything But Up" ในอัลบั้ม Marlo Thomas & Friends: Thanks & Giving All Year Long (2004) ก่อนที่จะเริ่มทัวร์ Most Wanted Tour อีก 9 เดือนต่อมา

2005 - 2006: Most Wanted

อัลบั้มที่ 4 ของเธอ Most Wanted (2005) เป็นการนำเพลงที่ประสบความสำเร็จมารวบรวมในอัลบั้มนี้ และเพิ่มเพลงรีมิกซ์ใหม่ รวมทั้งเพลงใหม่ที่แรงบันดาลใจของศิลปินป๊อป-ร็อคอย่าง The Killers และ Muse ลงไปในอัลบั้มด้วย อัลบั้มนี้เปิดตัวได้ดีในชาร์ตบิลบอร์ด 200 ด้วยการเปิดตัวอันดับที่ 1 บนชาร์ตถึง 2 สัปดาห์ติดกัน เช่นเดียวกันกับที่แคนาดา เพลงเปิดอัลบั้มอย่าง "Wake Up" ที่ได้ โจเอล แมดเดน และพี่ชายของเขา เบนจิ สมาชิกของวง Good Charlotte มาร่วมกันทำเพลงนี้ ทำให้เพลงนี้เป็นเพลงที่ไต่ขึ้นชาร์ตบิลบอร์ด 100 สูงที่สุดของเธอ ซิงเกิลที่ 2 "Beat of Mt Heart" ฮิตใน MTV แต่ไม่ขึ้นชาร์ตใดๆ ในอเมริกา และหลังจากนั้นเธอมี 4Ever อัลบั้มรวมเพลงที่มีวางจำหน่ายในอิตาลีเท่านั้น ในปี 2006 เธอได้ร้องเพลงใหม่ร่วมกับพี่สาวของเธอ "Material Girl" ที่เป็นการนำเพลงต้นฉบับสุดฮิตของ มาดอนน่า มาขับร้องใหม่ เพื่อประกอบภาพยนตร์ Material Girls ที่พวกเธอแสดง โดยได้ ทิมบาแลนด์ มาร่วมทำเพลงนี้ให้ด้วย

2007 - 2008: Dignity and Independent Music

ร้องเพลงที่โตรอนโต ในรายการมัชมิวสิก ปี 2007

ในสตูดิโออัลบั้มที่ 4 ของเธอ Dignity เธอมีส่วนร่วมในการทำงานมากในอัลบั้มนี้ โดยได้ร่วมเขียนเพลงกับ Kara DioGuardi และยังได้ Rhett Lawrence Tim & Bob และ Richaed Vission มาร่วมทำเพลงในอัลบั้มนี้ให้ โดยอัลบั้มนี้เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง เพราะเปลี่ยนแนวดนตรีเป็นแดนซ์ ซึ่งก็ยังคงมีกลิ่นอายของความเป็นป๊อป-ร็อคอยู่ และเพิ่มชาวน์อิเล็กทรอนิคเข้าไป

ซิงเกิลแรก "Play with Fire" เปิดตัวก่อนอัลบั้ทวางจำหน่ายนานมาก จึงไม่ประสบความสำเร็จนัก จนกระทั่งมาซิงเกิลที่ 2 "With Love" ทำให้เธอเปิดตัวได้สวยงามในชาร์ตบิลบอร์ด 100 และชาร์ต Dance Club Play ในมิวสิกวิดีโอเพลง With Love ยังเป็นการโฆษณาน้ำหอมใหม่ของเธอด้วย With Love...Hilary Duff ที่ออกวางจำหน่ายเดือนกันยายน 2006 อัลบั้มนี้วางจำหน่ายในเดือนเมษายน 2007 และเปิดตัวได้ที่ 4 ในชาร์ตบิลบอร์ด 200 และมียอดขายที่ดีในออสเตรเลีย และสหราชอาณาจักร ทัวร์คอนเสิร์ต Dignity World Tour เริ่มขึ้นปลายปี 2007 พร้อมกับซิงเกิลที่ 3 "Stranger" ที่ฮิตขึ้นชาร์ตทันทีในอเมริกา และในเดือนกันยายน 2007 เธอเริ่มทำเพลงที่จะเป็นซิงเกิลใหม่ของเธอ "Reach Out" ที่เป็นการนำเพลง "Personal Jesus" ของ Depeche Mode มาขับร้องใหม่ ซึ่งมีแผนนำเอามาโปรโมต ก่อนที่อัลบั้มชุดใหม่ของเธอจะออกมาในช่วงปลายปี 2008 นี้ นอกจากนั้นเธอยังร่วมแต่งเพลงในกับศิลปินรุ่นน้องด้วย เพลง "I Will" ที่มีแผนจะใส่ไว้ในอัลบั้มใหม่ของ วาเนสซ่า ฮัดเจน Identified แต่ท้ายที่สุด เพลงนี้ก็ถูกตัดออกไป

ความสัมพันธ์ของเธอกับค่ายเพลงต้นสังกัด Hollywood Records เริ่มเกิดความไม่เข้าใจกันขึ้น ทำให้เธอจะมีอัลบั้ม Best of Hilary Duff แทนที่จะเป็นสตูดิโออัลบั้มชุดใหม่ เนื่องจากไม่พอใจกับทางค่ายต้นสังกัด โดยในอัลบั้มนี้จะเพิ่มเพลงใหม่ 2 เพลง นั่นคือ Reach Out และ Holiday และจะรวมเอาเพลงฮิตของเธอตั้งแต่เริ่มร้องเพลงมารวมอยู่ในอัลบั้มนี้ โดยในอัลบั้มนี้ได้รับการถูกเมินจากทางค่ายต้นสังกัดเป็นอย่างมาก ทั้งด้านการตลาดและการโฆษณาที่มีการสนับสนุนน้อยมาก ทำให้แฟนคลับของเธอต่างไม่พอใจนัก รวมทั้งการเลื่อนกำหนดวางขายของอัลบั้มนี้มาหลายต่อหลายครั้ง และความล่าช้าของการส่งเพลงใหม่เพื่อโปรโมตตามสถานีวิทยุ และการถ่ายทำมิวสิกวิดีโอที่ล่าช้า และยังไม่กำหนดออกอากาศแต่อย่างใด จึงทำให้อัลบั้มเพลงนี้จะเป็นอัลบั้มเพลงชุดสุดท้ายของเธอภายใต้ต้นสังกัด Hollywood Records ซึ่งสัญญาของเธอจะสิ้นสุดลงปลายปี 2008 นี้

มิวสิกวิดีโอเพลง Reach Out ของเธอ ได้รับการออกอากาศครั้งแรกวันที่ 28 ตุลาคม 2008 ใน MySpace ในขณะที่อัลบั้ม Best of Hilary Duff ของเธอที่วางจำหน่ายในอเมริกา 11 พฤศจิกายน 2008 ไม่ประสบความสำเร็จนัก อัลบั้มเปิดตัวยอดขายได้เพียงไม่ถึง 2,000 แผ่นในสัปดาห์แรก และเปิดตัวได้นอก Billboard Top 200 ซึ่งอยู่ในชาร์ตนั่นได้เพียงสัปดาห์เดียว แต่เพลง Reach Out ของเธอก็สามารถทยานขึ้นสู่อันดับที่ 1 ในฝั่งของ Billboard Hot Dance Club Play ภายใน 4 สัปดาห์นี้ นอกจากนั้น ซิงเกล Reach Out และอัลบั้ม Best of ของเธอนี้ จะไปตีตลาดในอังกฤษเดือนมกราคม

2013 - 2016: Breathe In Breathe Out

เดือนตุลาคม 2013 ฮิลารี ดัฟ ได้โพสต์ภาพลงอินสตาแกรมส่วนตัวของเธอ ขณะกำลังบันทึกเสียงเพลงใหม่ในสตูดิโอ ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นการทำงานสตูดิโออัลบั้มที่ 5 ของเธอ ที่ทิ้งระยะห่างจากอัลบั้มก่อนกว่า 6 ปีเต็ม ทั้งนี้เธอยังได้โพสต์ข้อความและภาพร่วมกับโปรดิวเซอร์เพลงชื่อดังหลายคน อาทิเช่น บิลลี่ มานน์, ลินดี้ ร็อบบินส์ หรือ เดวิด ควินโนส เป็นต้น เดือนธันวาคม 2013 เธอได้ให้สัมภาษณ์กับสื่อประเทศแคนาดา ระบุว่า เพลงใหม่ในอัลบั้มชุดที่ 5 จะเป็นแนวป๊อป-อิเล็กทรอนิกส์แดนซ์ มีท่วงทำนองแปลกๆ สอดแทรกความเป็นอินดี้ เธอมีส่วนร่วมในการทำเพลงและเขียนเพลง ประมาณ 7-8 เพลง[24] เดือนมีนาคม 2014 เธอโพสต์ภาพและข้อความระหว่างการเซ็นสัญญากับค่ายเพลงใหม่ ซึ่งยังไม่ระบุว่าเป็นค่ายเพลงใด เดือนพฤษภาคม 2014 เธอให้สัมภาษณ์ระหว่างร่วมงาน iHeart Radio Music Awards ระบุว่า เธอยังคงทำงานเพลงร่วมกับโปรดิวเตอร์และนักแต่งเพลงหลายคน อีกทั้งเธอยังร่วมแต่งเพลงที่ใช้สำหรับในอัลบั้มใหม่ของเธอด้วย เธอยังได้มีโอกาสร่วมงานกับ เอ็ด ชีแรน ซึ่งคาดว่าเพลงใหม่ของเธอจะถูกปล่อยซิงเกลออกมาในช่วงฤดูร้อนปี 2014 ก่อนที่อัลบั้มเพลงชุดใหม่จะออกตามมาในช่วงฤดูใบไม้ร่วงต่อไป[25]

วันที่ 21 กรกฎาคม 2014 เธอโพสต์ผ่านโซเชียลมีเดียเกี่ยวกับซิงเกลเพลงใหม่จากสตูดิโออัลบั้มที่ 5 ซึ่งมีการยืนยันว่าคือเพลง 'Chasing the Sun' ซึ่งประมาณ 1 สัปดาห์ก่อนนั้นได้มีการถ่ายทำมิวสิควิดิโอขึ้นที่ริมชายหาดมาลิบู รัฐแคลิฟอร์เนีย ทั้งนี้ซิงเกลโปรโมทจากสตูดิโออัลบั้มที่ 5 ของเธอได้เปิดตัวอย่างเป็นทางการที่ไนท์คลับชื่อดัง 'Marquee' ในมหานครนิวยอร์ก เมื่อวันที่ 24 กรกฎาคม 2014[26] และในวันที่ 29 กรกฎาคม 2014 ซิงเกลแรกจากสตูดิโออัลบั้มที่ 5 ของเธอ Chasing the Sun ได้ออกวางจำหน่ายทั่วโลกในระบะดิจิตอล ทั้งนี้ยังได้ระบุว่า อาร์ซีเอเรเคิดส์ เป็นสังกัดค่ายเพลงใหม่ของเธอ[27] ต่อมาในวันที่ 24 กันยายน 2014 เธอได้ปล่อยเพลงซิงเกลโปรโมทเพลงที่ 2 จากสตูดิโออัลบั้มที่ 5 ของเธอคือเพลง All About You และในเดือนพฤษภาคม 2015 เธอได้ปล่อยซิงเกลเพลงใหม่ชื่อว่า Sparks พร้อมกับระบุชื่อสตูดิโออัลบั้มที่ 5 ของเธอคือ Breathe In Breathe Out มีกำหนดวางจำหน่ายทั่วโลกในเดือนมิถุนายน 2015

สตูดิโออัลบั้มที่ 5 Breathe In Breathe Out เปิดตัวยอดขายในอันดับที่ 5 บนชาร์ตบิลบอร์ด Top 200 นับเป็นอัลบั้มชุดที่ 5 ของเธอ ที่สามารถเปิดตัวได้ใน Top 5 และยังมีการตัดซิงเกลในอัลบั้มนี้ออกมาเพื่อโปรโมท Tattoo กับ My Kind แต่ไม่มีการผลิตมิวสิควิดีโออย่างเป็นทางการออกมาแต่อย่างใด อีกทั้งยังมีการวางแผนออกทัวร์อัลบั้มช่วงต้นปี 2016 แต่ต่อมามีการยืนยันชัดเจนว่า เธอไม่มีการเดินทางสายทัวร์ตามที่วางแผนเบื้องต้นเอาไว้ จนกระทั่งเดือนเมษายน 2016 ทางค่ายอาร์ซีเอเรเคิดส์ ได้ลบชื่อของเธอออกจากรายชื่อศิลปินในสังกัด โดยที่ยังไม่ทราบสาเหตุ

แหล่งที่มา

WikiPedia: ฮิลารี_ดัฟ http://www.accessallareas.net.au/data/EEZkuVFpEAaG... http://www.avclub.com/content/node/837 http://bauergriffinonline.com/2010/02/hilary-duff-... http://www.cinemablend.com/new/Hilary-Duff-And-Tob... http://www.deadline.com/2012/08/hilary-duff-signs-... http://www.empireonline.com/news/feed.asp?NID=2929... http://www.eonline.com/news/381091/casting-scoop-h... http://www.eonline.com/news/497532/hilary-duff-spl... http://www.eonline.com/news/hilary_duff_going_be_m... http://ausiellofiles.ew.com/2009/07/hilary-duff-jo...