เบื้องต้น ของ ฮิโรชิเงะ

ฮิโรชิเงะเกิดเมื่อปี ค.ศ. 1797 มีชื่อว่าอันโด โทกูทาโร (Andō Tokutarō) ในค่ายทหารทางตะวันออกของปราสาทเอโดะในบริเวณแยซูของเอโดะ (โตเกียวในปัจจุบัน) เป็นลูกของอันโด เก็งเอมง เป็นข้าระดับโดชิงของโชกุน มีหน้าที่รับผิดชอบเกี่ยวกับความปลอดภัยจากอัคคีภัยของปราสาท พ่อของฮิโรชิเงะและครอบครัวและซามูไรอีก 30 คนอาศัยอยู่ภายในค่าย 10 ค่าย และมีรายได้ 60 โคกุซึ่งเทียบว่าเป็นฐานะรอง ๆ แต่มั่นคงและงานไม่หนัก ศาสตราจารย์เซอิจิโร ทากาฮาชิ (Seiichiro Takahashi) กล่าวว่าหน้าที่การป้องกันไฟส่วนใหญ่แล้วจะเป็นการเที่ยวหาความสนุกสนาน[1] ซามูไรและพ่อของฮิโรชิเงะมีหน้าที่คนงานชั้นต่ำอีก 300 คนผู้ที่ก็อาศัยอยู่ในค่ายด้วย พ่อของฮิโรชิเงะเสียชีวิตเมื่อฮิโรชิเงะมีอายุได้ 12 ปีฮิโรชิเงะทำหน้าที่ต่อ เอกสารเพียงเล็กน้อยกล่าวว่าฮิโรชิเงะได้รับการฝึกจากเจ้าหน้าที่ดับเพลิงอีกคนหนึ่งให้เขียนภาพแบบจีนตระกูลคาโน (Kanō school)

ตำนานกล่าวว่าฮิโรชิเงะมึความมุ่งมั่นที่จะเป็นศิลปินภาพอูกิโยะ (ukiyo-e artist) เมื่อได้เห็นภาพพิมพ์เกือบร่วมสมัยของคัตสึชิกะ โฮกูไซ ตั้งแต่บัดนั้นจนโฮกูไซเสียชีวิตในปี ค.ศ. 1849 งานของศิลปินสองคนนี้ก็สร้างแข่งกันให้กับลูกค้าเดียวกัน แต่สิ่งที่น่าจะมีอิทธิในการสร้างภาพพิมพ์แกะไม้มีส่วนมาจากทางเศรษฐกิจ เพราะเงินเดีอนของซามูไรชั้นรองอย่างฮิโรชิเงะก็คงไม่พอใช้ ซึ่งทำให้ต้องหารายได้เพิ่ม แต่ก็ไม่ยากอะไรเพราะหน้าที่เจ้าหน้าที่ดับเพลิงเป็นหน้าที่ที่มีเวลาว่างมาก

หมู้บ้านกลางหิมะสำนักสงฆ์บนภูเขาเรือในทะเลสาบ

ความโน้มเอียงทางไปทางการวาดภาพทำให้ฮิโรชิเงะกลายเป็นจิตรกร เมื่อยังอายุไม่มากนักฮิโรชิเงะก็เริ่มเป็นที่รู้จัก เช่นในภาพเขียนเมื่อ ค.ศ. 1806 เป็นภาพขบวนของโชกุนจากเกาะรีวกีว การศึกษาของฮิโรชิเงะเริ่มด้วยการเรียนการเขียนแบบตระกูลคาโนโดยเพื่อนเจ้าหน้าที่ดับเพลิง โอกาจิมะ รินไซ (Okajima Rinsai) การศึกษาช่วงนี้เป็นการเตรียมตัวให้ฮิโรชิเงะให้เป็นผู้ฝึกงานเขียนต่อมา ฮิโรชิเงะพยายามเข้าฝึกงานกับอูตางาวะ โทโยกูนิ (Utagawa Toyokuni) จิตรกรผู้มีชื่อเสียงแต่ไม่สำเร็จ แต่ต่อมาก็ได้เข้าฝึกงาน (หลังจากถูกปฏิเสธไปครั้งหนึ่งก่อนหน้านั้น) กับอูตางาวะ โทโยฮิโระ (Utagawa Toyohiro) ในปี ค.ศ. 1811 เมื่ออายุ 15 ปี โตโยฮิโรให้ชื่อฮิโรชิเงะว่า “อูตางาวะ” (Utagawa) เพียงปีเดียวหลังจากเริ่มฝึกงานแทนที่จะเป็นสองถึงสามปีอย่างปกติ ต่อมาฮิโรชิเงะก็ใช้ชื่ออาจารย์เป็น “อิจิยูไซ ฮิโรชิเงะ” (Ichiyūsai Hiroshige)

เมื่อเริ่มฝึกงานกับโทะโยะฮิโร, ฮิโรชิเงะก็มิได้แสดงแนวโน้มทางความสามารถทางศิลปะมากนักและไม่มีผลงานเท่าใด แม้ว่าจะใช้ชื่อศิลปิน “อิจิยูไซ ฮิโรชิเงะ” และประกาศนียบัตรตั้งแต่ยังอายุเพียง 15 ปี งานชิ้นแรกที่แสดงความสามารถอย่างแท้จริงเป็นงานชิ้นที่ทำในปี ค.ศ. 1818 ในชุด “ทัศนียภาพ 8 ทางของทะเลสาบบิวะ” (Eight Views of Lake Biwa) และ “สถานที่สำคัญ 10 แห่งทางตะวันออกของเมืองหลวง” (Ten Famous Places in the Eastern Capital) ภาพสองชุดนี้ได้รับความสำเร็จพอประมาณ แต่ภาพ “สถานที่สำคัญทางตะวันออกของเมืองหลวง” สร้างใน ค.ศ. 1831 เริ่มสร้างความสนใจอย่างจริงจัง เชื่อกันว่างานเขียนระหว่างช่วงนี้เป็นงานที่ทำให้ฮิโรชิเงะศึกษาการเขียนภาพแบบตระกูลคาโน และ ชิโจ (Shijō) ได้ แต่งานเหล่านี้ก็เป็นเพียงงานเบื้องต้นที่ในที่สุดจึงได้นำมาสู่งานที่ทำให้ฮิโรชิเงะมีชื่อเสียงอย่างแท้จริง ในปี ค.ศ. 1832 ฮิโรชิเงะได้รับเชิญให้เป็นส่วนหนี่งของกลุ่มทูตโชกุนในพระราชสำนักหลวงที่เกียวโต ฮิโรชิเงะทิ้งนากาจิโรลูกชายไว้ให้ทำหน้าที่ดับเพลิงแทน ขณะที่เดินทางไปเกียวโตฮิโรชิเงะก็สังเกตทิวทัศน์ของถนนโทไกโด (Tōkaidō road) หรือถนนฝั่งทะเลตะวันออกซึ่งเป็นถนนที่คดเคี้ยวเลียบฝั่งทะเลและภูเขาที่ปกคลุมด้วยหิมะไปพลาง ผ่านทะเลสาบบิวะจนในที่สุดก็ถึงเกียวโต งานเขียนจากการเดินทางครั้งนี้ “สถานี 53 สถานีบนเส้นทางโทไกโด” (The Fifty-Three Stations of the Tokaido) เป็นงานพิมพ์ที่ประสพความสำเร็จมากและสร้างชื่อเสียงให้ฮิโรชิเงะเป็นศิลปินอย่างเต็มตัว แต่ก็มิได้ทำให้ฐานะทางการเงินดีเท่าใดนักจนตลอดชีวิต

ในปี ค.ศ. 1839 ภรรยาคนแรกฮิโรชิเงะเสียชีวิต ซึ่งต่อมาเขาได้แต่งงานกับโอยาซุ (O-yasu) ลูกสาวชาวนาชือคาเอมง (Kaemon) ฮิโรชิเงะอาศัยอยู่ในค่ายจนอายุ 43 และทำงานเช่นพ่อถึงแม้ว่าจะมีชื่อเสียงว่าเป็นศิลปินแล้วก็ตาม

ฮิโรชิเงะที่ 2 และ ฮิโรชิเงะที่ 3

ฮิโรชิเงะที่ 2 เป็นช่างภาพพิมพ์ชื่อชิเงโนบุ (Shigenobu) ผู้แต่งงานกับทัตสึลูกสาวของฮิโรชิเงะ ฮิโรชิเงะตั้งใจจะให้ชิเงโนบุเป็นทายาทแต่ทัตสึและชิเงโนบุแยกกัน แต่ชิเกะโนบุก็ยังใช้ชื่อฮิโรชิเงะซึ่งทำให้รู้จักกันในชื่อ “ฮิโรชิเงะที่ 2” ส่วน หลังจากนั้นทัตสึก็ไปแต่งงานกับศิลปินอีกคนหนึ่งชื่อชิเงมาซะ (Shigemasa) ผู้ที่กลายมาเป็นทายาทเจ้าหน้าที่ดับเพลิงของฮิโรชิเงะและใช้ชื่อฮิโรชิเงะ ที่รู้จักกันในชื่อ “ฮิโรชิเงะที่ 3” แต่ทั้ง ฮิโรชิเงะที่ 2 และ ฮิโรชิเงะที่ 3 ต่างก็ไม่ได้รับความสำเร็จเท่าเทียมกับฮิโรชิเงะ