ประวัติศาสตร์ ของ เกมผจญภัย

Colossal Cave Adventure

เกมผจญภัยเริ่มขึ้นช่วงปี 1970 ประยุทธ์ พนักงานของบริษัท BB&N สร้างเกม Colossal Cave Adventure เกมผจญภัยเกมแรกขึ้น โดยใช้คุณลักษณะของเกมแบบข้อความนั่นคือ ถ้าอยากเดินต้องพิมพ์ Move ถ้าอยากคุยก็ต้องพิมพ์ Talk พื้นฐานทุกอย่างอยู่ที่การพิมพ์ เกมนี้ได้รับความนิยมอย่างสูงจนได้ Don Woods มาช่วยโปรแกรมมิ่งอีกแรงหนึ่ง จุดเด่นของเกม Colossal Cave Adventure นั้น คือเกมผจญภัยในถ้ำ เต็มไปด้วยดาบและเวทมนตร์หลังจากนั้นแฟนเกมของ Colossal Cave Adventure ชื่อ Scott Adams เริ่มพัฒนาเกมแบบเวกเตอร์กราฟิก โดยใช้การประมวลผลที่สูงขึ้น เขาเขียนโปรแกรมให้ Colossal Cave Adventure สามารถเล่นบนเครื่องคอมพิวเตอร์ในบ้านได้ หลังจากนั้น ในช่วงปี ค.ศ. 1978 Scott ก่อตั้ง Adventure International ผลิตเกมผจญภัยออกมา 12 เกม ก่อนจะล้มละลายในปี 1985

ตู่

เพื่อนรักสองคน Dave Lebling และ Marc Blank แห่งสถาบันวิจัยเทคโนโลยีเมสซาชูเซท ได้พยายามสร้างเกมแบบ Colossal Cave Adventure ขึ้น โดยร่วมทีมกับ Tim Anderson และ Bruce Daniels พวกเขาสร้างเกมผจญภัยที่ได้รับความนิยมสูงสุดตลอดการ Zorkหลังจากเรียนจบ Tim Anderson, Joel Berez, Marc Blank, Mike Broos, Scott Cutler, Stu Galley, Dave Lebling, J. C. R. Licklider, Chris Reeve, และ Albert Vezza ก่อตั้งบริษัท Infocom ขึ้น ในปีค.ศ. 1979 สิ่งแรกที่พวกเขาทำคือวางขายเกม Zork แต่พวกเขาก็ต้องทำการสร้างใหม่ เพราะ Zork เก่ามีขนาดใหญ่เกินกว่าจะบรรจุลงในคอมพิวเตอร์ทั่วไปได้ ซึ่งทางออกของพวกเขาคือแบ่งเกมออกเป็นตอนๆ ในที่สุดเกม Zork 1 : The Great Underground Empire ก็วางขาย พวกเขาสามารถขายได้ถึง 1ล้านตลับ

ป้อม

ภาพของ Roberta Williams

หลังจากที่ยุคคอมพิวเตอร์แบบสองสีใกล้จะจบลง สามีภรรยาครอบครัว Williams ซึ่ง Ken Williams ผู้เป็นสามีเปิดบริษัทโปรแกรมมิ่งสำหรับเครื่อง Apple II จนวันหนึ่งเขาและภรรยาของเขา Roberta Willams ได้ลองเล่นเกม Colossal Cave Adventure และ Roberta ก็ชอบมันมาก ในที่สุดเธอได้เสนอกับสามีของเธอให้ทำเกมผจญภัยโดยให้มีภาพขึ้นในจอด้วยและนั่นคือต้นกำเนิดของเกมผจญภัยแบบกราฟิกในที่สุด Ken และ Roberta ตัดสินใจเปิดบริษัท On-Line Systems และ Roberta ได้สร้างเกมแรกของเธอคือ Mystery House ซึ่งได้รับแรงบันดาลใจมาจาก And Then There Were None ของ อาการ์ธ่า คริสตี้ (ซึ่งเกมนี้ถูกคิดขึ้นระหว่างการรับประทานอาหารเย็น) โดยเกมนั้นเป็นเกมผสมกันระหว่างเกมแบบ Text Based แต่มีภาพขึ้นในจอช่วยให้ผู้เล่นเข้าใจเกมได้มากขึ้น เกม Mystery House ขายได้ถึง 80,000 ตลับ ตลับละ 25.95 เหรียญ จนเมื่อมาถึงยุคของจอ 4 สี โรเบอร์ต้าก็สร้างเกมผจญภัยอีกมากมายไม่ว่าจะเป็น Wizard and the Princess, Mission Asteroid และ Time Zone (ซึ่งเป็นเกมผจญภัยสุดทะเยอทะยานในยุคนั้น สนนราคาตลับละ 99 เหรียญ ซึ่งแพงกว่าคนยุคนั้นจะจ่ายได้) โดยที่ Ken รับหน้าที่วาดรูปให้หลังจากที่เกมของ On-Line Systems ได้รับความนิยมอย่างสูงสุด บริษัทตัดสินใจเปลี่ยนชื่อเป็น Sierra On-Line Systems ในปี ค.ศ. 1982 Roberta ได้สร้างเกมทีมี่ชื่อต่อท้ายว่า Quest โดยได้แก่ King’s Quest, Space’s Quest, Police’s Quest, Quest for Glory และยังมีเกมอื่นๆที่ไม่ใช่ของ Roberta ไม่ว่าจะเป็น Leisure Suit Larry (Al Lowe) หรือ Gabriel Knight (Jane Jensen) โดยเกมหลังๆส่วนมากจะเป็นเกมแบบกราฟิก ไม่ใช่การวาดภาพเหมือนที่ผ่านมา ซีรีส์ของ Quest ได้รับความนิยมมาก มีการสร้างภาคต่อมากมาย

ภาพจากเกม Maniac Mansion เกมแรกของโลกที่ใช้ระบบ SCUMM

Lucasarts

หลังจากที่ Sierra On-Line Systems ครองตลาดเกมผจญภัยแต่เพียงผู้เดียว ในปี ค.ศ. 1987 โปรแกรมเมอร์ชื่อ Ron Gilbert จากบริษัท Lucasfilm Games ได้พัฒนาระบบที่เรียกว่า SCUMM (มาจากคำว่า Script Creation Utility for Maniac Mansion) เป็นระบบแทนที่จะใช้การพิมพ์คำสั่งในการกระทำต่างๆ พวกเขากลับเลือกใช้เมาส์ในการเลือกคำสั่งแทน (ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของการล่มสลายของเกมแบบพิมพ์) โดยระบบหลักๆของ SCUMM นั้นตัวเกมจะมีแผงคำสั่งอยู่ด้านล่าง โดยแผงคำสั่งนั้นจะเป็นคำสั่งทั่วๆไป เช่น เปิด ใช้ เก็บ คุย ซึ่ง Ron Gilbert ได้พัฒนาระบบนี้สำหรับเกม Maniac Mansion และ Zak McKracken and The Alien Mindbender ซึ่งเป็นเกมแบบ 16 สี และเมื่อถึงยุคของ สี 256 สีและ Windows 3.1 เกมอย่าง Monkey Island (ในชื่อของ The Secret of Monkey Island) และ Indiana Jones and The Fate of Atlantis ก็ถูกพัฒนาขึ้น (ซึ่งระบบ SCUMM นั้นได้รับความนิยมมาก จนกระทั่งหลายๆเกมหรือแม้แต่ Sierra เองก็หยิบยืมไปใช้ด้วยเช่นกัน)และเมื่อยุคสี 16 บิท และ Windows 95 เริ่มต้นขึ้น สุดยอดเกมที่ทาง Lucasarts (ชื่อใหม่ของ Lucasfilm Games) ร่วมมือกับ Steven Spielberg นาม The Dig ก็กำเนิดขึ้น โดยเอาเนื้อเรื่องไซ-ไฟของมนุษย์ต่างดาวมาเป็นเกมและในปี 1993 เกมสุดฮาอย่าง Day of the Tentacle (โดยตัวเอกเป็นคนเดิมจาก Maniac Mansion) ในรูปแบบของการ์ตูน เกมสองคู่หูจากหนังสือการ์ตูน Sam & Max เกมผจญภัยของสิงห์หนุ่มนักบิด Full Throttle ก็ออกสู่ตลาด Lucasarts กลายเป็นคู่แข่งอย่างเป็นทางการของ Sierra On-Line System และก่อกำเนิดยุคทองของเกมผจญภัยแต่ทว่าในที่สุดกระแสเกม3มิติก็เพิ่มพูนขึ้น ทำให้เกมผจญภัยแบบเมาส์คลิกถดถอยลง จนในที่สุดเกมอย่าง Grim Fadango ซึ่งใช้คียบอร์ดควบคุมแบบสมบูรณ์ก็วางขายในปีค.ศ. 1998และทำให้ระบบ SCUMM ก็ถูกเลิกใช้และเริ่มใชะระบบแบบ GrimE

Myst

ถึงแม้ว่าในช่วงปี ค.ศ. 1991 บริษัท Lucasarts จะครองตลาดเกมผจญภัยขณะนั้น พนักงานของ Cyan Inc. นำโดยสองพี่น้อง Rand และ Robbin Miller ได้ตัดสินใจใช้เทคโนโลยีล่าสุดขณะนั้นสร้างเกมผจญภัยกึ่ง 3มิติเกมแรกของโลกออกมา คือ Myst

ภาพจากเกม Myst

ถึงแม้ Myst จริงๆแล้วจะเป็นเกม 2มิติ ฉากและแบ๊คกราวนด์ของมันถูกสร้างโดยการเรนเดอร์แบบ 3มิติ และ Myst ยังถือได้ว่าเป็นผู้บุกเบิกเกมแนว Puzzle Adventure (เกมผจญภัยแบบปริศนา) ไม่มีการเก็บของ ไม่มีการพูดคุย มีแต่ปริศนาล้วนๆ แนวของ Myst ได้รับความนิยมอย่างสูง จนในที่สุดก็มีเกมคล้ายๆ Myst ออกมามากมายและเพราะกระแสความนิยมของ Myst ทำให้เกม Myst มีภาคต่อออกมามากมาย ไม่ว่าจะเป็น Riven, Myst III: Exile, URU: Ages Beyond Myst, Myst IV: Revelation หรือกระทั่ง Myst V: End of Ages และยังมีภาคนิยายออกขายในชื่อ Myst: The Book of Atrus, Myst: The Book of Ti'ana และ Myst: The Book of D'ni.

ยุคตกต่ำ

ในช่วงปี ค.ศ. 1994 อิธิพลของลุงตู่ 3มิติ เริ่มมีเข้ามามากขึ้น ตลาดเริ่มหันเหไปในเกมที่เน้นแอ๊คชั่น เพราะการมาของ Half Life ทำให้กระแสของเกมผจญภัยถดถอยลง และยังมีลูกผสมของเกมผจญภัย ทั้ง Resident Evil และ The Legend of Zelda ทำให้หลายๆค่ายเกมต่างเริ่มเล็งเห็นจุดอิ่มตัวของเกมผจญภัย จนในที่สุดสัญญาณแห่งความล้มเหลวก็เกิดขึ้น เมื่อ Sierra ตัดสินใจเปลี่ยนเกม King’s Quest ในภาคที่ 8 ชื่อ Mask of Eternity ให้กลายเป็นเกมแบบ Action Adventure เพื่อหวังกระตุ้นยอดขาย แต่โชคร้ายที่ไม่เพียงแต่เกมจะออกมาธรรมดามากๆแล้วบรรดาแฟนเก่าของเกมนี้ต่างต่อว่าและไม่ยอมรับที่ทาง Sierra ทำลายเกมผจญภัยสุดคลาสสิกนี้ และทำให้ Roberta Williams ต้องออกไปพักผ่อนและเขียนนิยาย เธอคอยว่าเมื่อไหร่ที่เกมผจญภัยจะเข้าที่เหมือนเดิม และไม่เพียงแต่ King’s Quest เท่านั้น ซีรีส์ Quest อื่นๆ ไม่ว่าจะเป็น Police’s Quest ที่กลายมาเป็น Police’s Quest Swat II (เกมแนววางแผนการรบ) และ Quest for Glory ที่ไม่ได้รับความนิยมแม้แต่น้อยสัญญาณอันตรายต่อมาของเกมผจญภัยคือการลาออกจากวงการเกมของเหล่านักพัฒนามือฉมัง ไม่ว่าจะเป็น Ron Gilbert, Tim Scafer, Al Lowe เริ่มออกจากบริษัทของพวกเขา รวมถึงบริษัทยักษ์ใหญ่อย่าง Lucasarts ก็เริ่มสร้างเกมผจญภัยน้อยลง จนกระทั่งมาถึงเกมสุดท้ายอย่าง Escape from Monkey Island (ค.ศ. 2000) และ Lucasarts ก็ยกเลิกแผนการสร้างเกมผจญภัยทั้งหมดไม่ว่าจะเป็นภาคต่อของ Full Throttle หรือ Sam & Max

ในปัจจุบัน

เกมผจญภัยกลับมาฟื้นฟูอีกครั้งในช่วงปี ค.ศ. 2001 เมื่อบริษัทยักษ์ใหญ่จากยุโรปได้เริ่มสร้างเกมผจญภัยของตัวเองออกมามากมาย (ตรงกันข้ามกับประเทศสหรัฐอเมริกา ซึ่งเลิกผลิตเกมผจญภัยแล้ว) ไม่ว่าจะเป็น Syberia, Amerzone หรือ The Longest Journey ทำให้เกมผจญภัยกลับมาเฟื่องฟูอีกครั้ง รวมทั้งในปัจจุบันเกมประเทศญี่ปุ่นก็มีการสร้างเกมผจญภัยขึ้นมาให้กับเครื่อง นินเทนโด ดีเอส อย่างเช่น เกียคุเทนไซบัน, Trace Memory และ Touch Detective