ประวัติ ของ เจค_จิลเลินฮาล

ชีวิตช่วงแรกและการศึกษา

จิลเลนฮอลเกิดในลอสแอนเจลิส แคลิฟอร์เนีย เป็นบุตรชายของผู้กำกับ สตีเฟน จิลเลนฮอล และนักเขียนบทภาพยนตร์ นาโอมิ โฟเนอร์[4] บิดาของจิลเลนฮอลเติบโตมากับครอบครัวศาสนาสวีเดนบอร์เจียน (Swedenborgianism) ในครอบครัวตระกูลจิลเลนฮอล บรรพบุรุษชาวสวีเดนที่มีชื่อเสียงของตระกูลนี้คือ แอนเดอร์ส ลีโอนาร์ด จิลเลนฮอล นายทหารและผู้เชี่ยวชาญทางด้านแมลง[5] มารดาของจิลเลนฮอลเป็นครอบครัวยิว-อเมริกันที่มาจากนิวยอร์ก และเป็นภรรยาเก่าของอีริค โฟเนอร์ ศาสตราจารย์ทางด้านประวัติศาสตร์มหาวิทยาลัยโคลัมเบีย ส่วนแมกกี จิลเลนฮอล พี่สาวมีอาชีพเป็นนักแสดงเช่นกัน จิลเลนฮอลถูกเลี้ยงดูแลในความเชื่อแบบยิว[6] พิธีฉลองอายุ 13 ปี (B'nai Mitzvah) ของเขาเกิดขึ้นที่ศูนย์คนไร้ที่อยู่ เพราะพ่อและแม่ต้องการให้เขาได้สำนึกถึงชีวิตความเป็นอยู่ที่พิเศษกว่าผู้อื่น โดยตัดสินใจที่จะฉลองพิธีกับคนเหล่านั้นด้วยความเรียบง่ายกว่าที่เขาเคยได้รับ[7]

นอกจากนั้นพ่อและแม่ยังให้จิลเลนฮอลหารายได้พิเศษช่วงฤดูร้อนให้กับตัวเอง โดยทำงานเป็นเจ้าหน้าที่คอยช่วยชีวิตคนบริเวณชายหาดและบริกรที่ภัตตาคารที่เพื่อนของพ่อเขาเป็นเจ้าของ[8]

ผลงานการแสดงช่วงแรก

จากภาพยนตร์เรื่อง October Sky

ตั้งแต่เด็ก จิลเลนฮอลยังได้คลุกคลีกับวงการภาพยนตร์เนื่องจากอาชีพของครอบครัว ในวัย 11 ปี เขาได้ปรากฏตัวในภาพยนตร์เรื่องแรกในปี พ.ศ. 2534 เรื่อง City Slicker รับบทเป็นลูกชายของบิลลี คริสตัล อย่างไรก็ตามพ่อแม่ไม่อนุญาตให้จิลเลนฮอลแสดงภาพยนตร์เรื่อง The Mighty Ducks (ภาพยนตร์ปี พ.ศ. 2535) เนื่องจากต้องออกจากบ้านร่วม 2 เดือน[4] ในปีถัดมาพ่อแม่ก็ได้อนุญาตให้เขาไปทดสอบบท แต่ก็มีข้อห้ามถ้าถูกคัดเลือก[8] แต่จิลเลนฮอลก็ยังไม่ได้รับอนุญาตให้แสดงในภาพยนตร์ของพ่อเขาอยู่หลายหน ในปี พ.ศ. 2536 ได้แสดงภาพยนตร์เรื่อง Dangerous Woman (แมกกีพี่สาวก็ร่วมแสดง) ต่อมาปี พ.ศ. 2537 กับละครโทรทัศน์เรื่อง Homicide: Life on the Street ในปี พ.ศ. 2541 แมกกีและเจคได้ร่วมออกรายการกับแม่ในรายการทำอาหาร "Molto Mario" ทางช่องฟู้ด เน็ตเวิร์ค ก่อนที่จะจบการศึกษาระดับไฮสคูล ภาพยนตร์เรื่องเดียวที่พ่อของเขาไม่ได้กำกับและได้อนุญาตให้แสดงคือเรื่อง Josh and S.A.M.[9]

จิลเลนฮอลจบการศึกษาชั้นมัธยมจากโรงเรียนฮาวาร์ด-เวสต์เลกในลอสแอนเจลิสในปี พ.ศ. 2541 จากนั้นได้เข้าเรียนต่อที่มหาวิทยาลัยโคลัมเบีย ในรัฐนิวยอร์ก (พี่สาวและแม่ของเขาก็เรียนที่นี่) จิลเลนฮอลได้ศึกษาด้านศาสนาตะวันออกและปรัชญา ถึงปีที่ 2 แล้วได้พักการเรียนไว้เพื่อมุ่งเข้าสู่วงการบันเทิง อย่างไรก็ดีจิลเลนฮอลก็ได้กลับมาศึกษาต่อจนจบในที่สุด[4]

จิลเลนฮอลได้รับบทนำครั้งแรกในภาพยนตร์เรื่อง October Sky ในปี พ.ศ. 2542 กำกับโดยโจ จอห์นสตัน ดัดแปลงมาจากอัตชีวประวัติของโฮเมอร์ ฮิกแคม รับบทบาทเป็นนักเรียนมัธยมที่รับทุนด้านวิทยาศาสตร์เพื่อหลีกเลี่ยงการเป็นคนงานในเหมือง ภาพยนตร์เรื่องนี้ทำรายได้ 32 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หนังสือพิมพ์ซาคราเมนโตนิวส์แอนด์รีวิว วิจารณ์ว่า "เป็นการแสดงที่แจ้งเกิด"ของเขา[9][10]

การประสบความสำเร็จและเสียงวิจารณ์

Donnie Darko ภาพยนตร์เรื่องที่ 2 ที่จิลเลนฮอลรับบทนำ ไม่ประสบความสำเร็จด้านรายได้ในตารางบ็อกซ์ออฟฟิส ในครั้งแรกที่ออกฉายในปี พ.ศ. 2544 แต่ในที่สุดก็เป็นที่นิยมในกลุ่มผู้ชื่นชอบ[11] ภาพยนตร์เรื่องนี้กำกับโดยริชาร์ด เคลลี โดยจิลเลนฮอลรับบทเป็นวัยรุ่นมีปัญหาที่หนีความตาย และได้พบกับกระต่ายสูง 6 ฟุตที่ชื่อ แฟรงค์ที่บอกเขาว่าโลกกำลังใกล้สู่จุดจบ จิลเลนฮอลได้รับคำวิจารณ์ตอบรับที่ดี แดน คอยส์จาก เว็บซาลอน.คอม วิจารณ์ว่า "จิลเลนฮอลเล่นบทบาทที่ยากสองอย่าง ทั้งบทธรรมดาที่ไม่น่าสนใจและบทที่ลำบากได้ในเวลาเดียวกัน"[12][13] จิลเลนฮอลได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลอินดีเพนเดนต์สปิริตอวอร์ด สาขานักแสดงนำชายยอดเยี่ยม

จิลเลนฮอลในภาพยนตร์เรื่อง Donnie Darko

ในปี พ.ศ. 2545 จิลเลนฮอลได้แสดงคู่กับเจนนิเฟอร์ อนิสตันในภาพยนตร์จากเทศกาลภาพยนตร์ซันแดนซ์เรื่อง The Good Girl และยังได้แสดงเรื่อง Lovely & Amazing ร่วมกับ แคเธอรีน คีเนอร์[14] ในภาพยนตร์ทั้งสองเรื่องได้รับบทบาทเป็นชายหนุ่มที่ตกหลุมรัก และมีความสัมพันธ์ลึกกับหญิงที่แต่งงานแล้ว ภายหลังจิลเลนฮอลได้อธิบายว่า "นี่คือบทบาทของวัยรุ่นในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อ"[15]

ต่อมาจิลเลนฮอลได้แสดงในภาพยนตร์โรแมนติกคอเมดี้ ของทัชสโตน พิคเจอร์ส เรื่อง Bubble Boy สร้างมาจากงานเขียนของเดวิด เวตเตอร์ ภาพยนตร์เรื่องนี้ได้รับเสียงวิจารณ์ว่า "ยุ่งเหยิง ไม่มีแก่น เป็นความเลวร้ายที่ไร้รสนิยมอย่างที่สุด"[16]

หลังจากเรื่อง Bubble Boy ก็ได้แสดงประกบกับดัสติน ฮอฟแมน และซูซาน ซาแรนดอนในภาพยนตร์เรื่อง Moonlight Mile ได้รับบทบาทเป็นเด็กหนุ่มที่รับมือกับความตายของคู่หมั้นและความโศกเศร้าของครอบครัวคู่หมั้น เขียนบทและกำกับ โดยแบรด ซิเบอลิง จากประสบการณ์จริง[17] ได้รับความวิจารณ์ทั้งดีและไม่ดี[18]

จิลเลนฮอลเกือบได้รับเลือกให้แสดงเป็นสไปเดอร์แมนในภาพยนตร์เรื่องสไปเดอร์แมน 2 โดยผู้กำกับ แซม ไรมิ หลังจากที่โทบีย์ แมคไกวร์ได้รับบาดเจ็บที่หลัง[19] อย่างไรก็ตามจิลเลนฮอลไม่ได้แสดงในภาพยนตร์ภาคต่อเรื่องนี้ ต่อมาได้รับบทในภาพยนตร์ฟอร์มยักษ์เรื่อง The Day After Tomorrow ในปี พ.ศ. 2547 แสดงร่วมกับเดนนิส เควด[20]

ผลงานเรื่องแรกบนเวทีละครของจิลเลนฮอลคือการแสดงในบทนำของละครลอนดอนที่ถูกนำมาทำใหม่ โดยเคนเนธ โลเนอร์แกน เรื่อง This Is Our Youth ละครเรื่องนี้เปิดแสดงนานถึงแปดสัปดาห์ที่เวสต์เอ็นด์ในลอนดอน เขาได้รับบทบาทเศรษฐีเด็กที่ใช้เวลาช่วงสุดสัปดาห์ในการขโมย ซื้อขายและเสพยาเสพย์ติด ร่วมกับเฮย์เดน คริสเตนเซนและแอนนา พาควิน สำหรับบทนี้จิลเลนฮอลได้รับรางวัลอีฟนิงสแตนดาร์ดเธียรเตอร์อวอร์ด ในประเภทนักแสดงหน้าใหม่ผู้มีผลงานโดดเด่น[21][22]

หุบเขาเร้นรักและอนาคต

ปี พ.ศ. 2548 ถือเป็นปีของจิลเลนฮอล ได้แสดงภาพยนตร์ที่ได้รับคำชมอย่าง Proof, Jarhead, และ หุบเขาเร้นรัก ในภาพยนตร์เรื่อง Proof ได้แสดงร่วมกับกวินเน็ธ พัลโทรว์และแอนโธนี ฮ็อพกินส์ ผู้กำกับจอห์น แมดเดน ภาพยนตร์ซึ่งมีบทดัดแปลงมาจากละครที่ได้รับรางวัลพูลิตเซอร์ จิลเลนฮอลได้รับบทบาทเป็นลูกศิษย์นักคณิตศาสตร์อัจฉริยะ ผู้จากไปด้วยโรคบกพร่องทางจิต ที่เข้ามาช่วยแก้สมการคณิตศาสตร์ ที่ยังแก้ไม่ได้[23]

ในภาพยนตร์เรื่อง Jarhead ได้รับบทเป็นนาวิกโยธินที่ถูกส่งตัวไปยังทะเลทรายในซาอุดีอาระเบีย เพื่อร่วมรบในสงครามอ่าวเปอร์เซียครั้งแรก[24][ลิงก์เสีย] กระแสของภาพยนตร์เรื่องนี้ตอนเปิดตัวค่อนข้างเงียบเนื่องจากออกมาพร้อมกับภาพยนตร์เรื่องหุบเขาเร้นรักแซม เม็นเดสผู้กำกับเรื่อง Jarhead พูดถึงจิลเลนฮอลว่า "เขาเข้าวงการตั้งแต่ยังเด็ก เป็นเด็กหน้าตาดี อยู่ในครอบครัวบันเทิง เขามักจะมีความคิดที่จะไปให้ถึงที่เขาจะไป แต่ในบางระดับเขาก็ยังไปไม่ถึง และเขาต้องการที่จะทำงานในส่วนนี้ ต้องการที่จะค้นพบตัวเอง และผมไม่สามารถจะตื่นเต้นกว่านี้เกี่ยวกับการแสดงของเขา" [4]

จากภาพยนตร์เรื่อง หุบเขาเร้นรัก

ในภาพยนตร์เรื่องหุบเขาเร้นรัก จิลเลนฮอลได้แสดงร่วมกับฮีธ เลดเจอร์ ในบทคนงานในฟาร์มเลี้ยงแกะที่เกิดมีความสัมพันธ์แบบรักร่วมเพศ ท้องเรื่องเกิดในทศวรรษที่ 60 บนภูเขาโบรคแบ็กในรัฐไวโอมิง ภาพยนตร์เรื่องนี้เปิดด้วยการคว้ารางวัลสิงโตทองคำสาขาภาพยนตร์ยอดเยี่ยม จากเทศกาลภาพยนตร์เวนิซ (กันยายน พ.ศ. 2548) [25] และยังได้รับรางวัลลูกโลกทองคำถึง 4 สาขา และอีก 4 สาขาจากรางวัลบาฟต้า และ 3 สาขาจากรางวัลออสการ์ จิลเลนฮอลถูกเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลออสการ์สาขานักแสดงสมทบชายยอดเยี่ยม แต่พ่ายให้กับจอร์จ คลูนีย์ไป ในส่วนรางวัลบาฟต้าได้รับรางวัลดาราสมทบชายยอดเยี่ยมนอกจากนั้นจิลเลนฮอลยังได้รับรางวัลยังอาร์ทิสต์อวอร์ดจาก ดิอเมริกันส์ฟอร์ดิอาร์ทสเนชันนัลอาร์ทสอวอร์ดส สำหรับความสำเร็จในอาชีพ

เมื่อภาพยนตร์ออกฉายมักมีข่าวลือเกี่ยวกับรสนิยมทางเพศของจิลเลนฮอล เขาให้คำตอบว่า

"คุณรู้ไหมว่านั่นคือคำชม เมื่อมีข่าวลือพูดว่าผมเป็นไบเซ็กชวล มันหมายถึงผมสามารถเล่นได้ทุกบทบาท ผมเป็นคนเปิดกว้างกับทุกคนที่ต้องการเรียกผมอย่างนั้น ผมไม่เคยรู้สึกสนใจผู้ชาย แต่ก็ไม่คิดว่าจะกลัวถ้ามันเกิดขึ้นจริง[26]"

ในปี พ.ศ. 2548 จิลเลนฮอลได้ให้เสียงพากย์กับภาพยนตร์แอนิเมชันเรื่องสั้นเรื่อง The Man Who Walked Between the Towers[27] เค้าโครงมาจากหนังสือเขียนโดย มอร์ดิไซ เกอร์สไตน์[28]

เดือนมีนาคม พ.ศ. 2550 ภาพยนตร์เรื่องล่าสุด Zodiac ได้ออกฉายที่สหรัฐอเมริกา โดยผู้กำกับ เดวิด ฟินเชอร์ ได้เค้าโครงเรื่องจากเรื่องจริง[29][ลิงก์เสีย] ได้รับบทเป็น โรเบิร์ต เกรย์สมิธ ผู้เขียนหนังสือทั้ง 2 เล่มของ โซดิแอก คิลเลอร์ นักฆ่าจักรราศี

จิลเลนฮอลแสดงภาพยนตร์เรื่อง Rendition ออกฉายเดือนตุลาคม พ.ศ. 2550 มีฉากหลังเป็นตะวันออกกลาง กำกับโดยเกวิน ฮูด ภาพยนตร์เรื่องนี้แสดงกับรีส วิเธอร์สปูน[30] บทถัดไปของจิลเลนฮอลคือ หนังนำมาสร้างใหม่ในปี พ.ศ. 2547 เรื่อง Brothers กำกับโดย จิม เชอริแดน[31]

ใกล้เคียง

แหล่งที่มา

WikiPedia: เจค_จิลเลินฮาล http://www.smh.com.au/articles/2004/07/21/10900892... http://movies.about.com/library/weekly/aa092502a.h... http://www.albemarle-london.com/awards/es0105.html... http://archives.cnn.com/2002/SHOWBIZ/Movies/01/16/... http://www.contactmusic.com/new/xmlfeed.nsf/mndweb... http://www.curtainup.com/thisisouryouthlond.html http://www.dailytrojan.com/media/storage/paper679/... http://harpmagazine.com/articles/detail.cfm?articl... http://uk.filmforce.ign.com/articles/519/519613p2.... http://movies.ign.com/articles/430/430006p1.html