เจ้าจอมมารดาเลื่อน ในรัชกาลที่ 5 สกุลเดิม นิยะวานนท์ เกิดเมื่อวันที่
8 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2418 ที่บ้านบางขุนพรหมใน
พระนคร เป็นบุตรีของพระนรินทราภรณ์ (ลอย นิยะวานนท์) กับ ปริก โดยปู่ของท่านคือพระอินท์อากร (มุ่ย ไกรฤกษ์) เป็นน้องชายของ
เจ้าจอมมารดาอำพา ใน
รัชกาลที่ 2 (พระมารดาของ
พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหมื่นภูบาลบริรักษ์ ต้น
ราชสกุลกปิตถา และ
พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมขุนวรจักรธรานุภาพ ต้น
ราชสกุลปราโมช) เมื่อท่านอายุได้ 9 ปี ได้เข้าไปอยู่ใน
พระบรมมหาราชวัง กับ
เจ้าจอมมิ ในรัชกาลที่ 5 ซึ่งเป็นลูกของป้าท่าน แล้วจึงถวายตัวแด่
สมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง แล้วได้เป็น
ละครหลวง ต่อมาทรงพระกรุณาให้เป็นเป็นเจ้าจอม ประสูติพระเจ้าลูกเธอรวม 2 พระองค์ คือ ในส่วนของเจ้าจอมมารดาเลื่อนนั้น ท่านจะมีหน้าที่ประจำ คือ การอ่านหนังสือถวายพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ในเวลาเข้าที่บรรทมเป็นนิจ เพราะพระองค์ทรงพระบรรทมยาก ท่านเจ้าจอมมารดาท่านมีเสียงที่ไพเราะ อ่านได้นาน ๆ ไม่แหบแห้ง ทั้งเป็นผู้ถูกอัธยาศัย ทรงพระกรุณามาก เมื่อต่อมาพระราชโอรสทรงได้รับใช้ใกล้ชิดพระองค์ก็เป็นเหตุให้ทรงยกย่องเจ้าจอมมารดาเลื่อนยิ่งขึ้น ถึงได้รับพระราชทาน
เครื่องราชอิสริยาภรณ์ทุติยจุลจอมเกล้าวิเศษ และ
เหรียญรัตนาภรณ์ ในรัชกาลที่ 5 ชั้นที่ 2 ครั้นพระองค์เจ้าอุรุพงษ์สิ้นพระชนม์แล้ว ปลายรัชกาลที่ 5 เจ้าจอมมารดาเลื่อนจึงถวายคืนพระมรดกของพระองค์เจ้าอุรุพงษ์ฯ ทั้งหมด ถึง
รัชกาลที่ 6 จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชเงินปีเลี้ยงชีพเป็นพิเศษอีกปีละ 30,000 บาท นอกเหนือไปจากอัตราปกติของเจ้าจอมมารดาพระสนมเอก และได้รับพระราชทานเหรียญรัตนาภรณ์ รัชกาลที่ 6 ชั้นที่ 2 อีกด้วยในเวลาต่อมา เจ้าจอมมารดาเลื่อน ได้กราบถวายบังคมทูลลาออกไปอยู่นอกวัง ที่บ้าน
ถนนพระราม 5 ( ปัจจุบันกำลังปรับปรุงอาคารให้เป็น
หอประวัติราชบัณฑิตยสภา เพื่อเป็นหอประวัติศาสตร์พร้อมสำหรับการต้อนรับแขกบ้านแขกเมืองควบคู่ไปกับการจัดประชุม เบื้องต้นคาดว่าจะแล้วเสร็จภายใน 2-3 ปี ) และดำรงชีพอยู่โดยสัมมาปฏิบัติ ต่อมาท่านได้ย้ายไปสร้างบ้านใหม่ที่ถนนเพชรบุรี ใกล้ประตูน้ำปทุมวัน แต่มีโรคเบียดเบียนในวัยชราอยู่หลายปี จนในที่สุดก็ถึงแก่อสัญกรรมลงที่บ้านถนนเพชรบุรีนี้ เมื่อวันที่
12 พฤศจิกายน พ.ศ. 2490เจ้าจอมมารดาเลื่อน เป็นบุคคลที่มีใจเป็นบุญ ทำการบริจาคทานอยู่เสมอๆ เช่น สร้างศาลาอุรุพงษ์ เป็นการเปรียญใหม่ ที่
วัดบรมนิวาส และปฏิสังขรณ์ พระประธานองค์ใหญ่ ประดิษฐานไว้ในศาลานั้น สิ้นเงินในการนี่ 25,000 บาท และตั้งทุนช่วยวัด ที่
วัดเบญจมบพิตร ได้บริจาคเงิน 800 บาท ซ่อมศาลาที่บรรจุพระอังคารพระองค์อุรุพงษ์ฯ เปลี่ยนเป็นศาลาจตุรมุข ผูกเหล็กหล่อคอนกรีตทั้งหลังบริจาคสมทบทุนพยาบาลภิกษุสามเณรอาพาธในวัดเบญจมบพิตรอีกถึง 2,000 บาท และบริจาคทรัพย์อีก 2,500 บาท สำหรับเขียนภาพบรรจุช่องว่างในพระอุโบสถช่อง 1 เป็นภาพพระมหาธาตุเมืองศรีสัชนาลัย ด้วยกันกับเจ้านายและบาทบริจาริกาในรัชกาลที่ 5 และบริจาคเงินบำรุงพระภิกษุในวัดนั้นตลอดมา