พระประวัติ ของ เจ้าฟ้าอภัยทศ

พระชนม์ชีพช่วงต้น

เจ้าฟ้าอภัยทศ เป็นพระราชโอรสในสมเด็จพระเจ้าปราสาททอง ใน คำให้การชาวกรุงเก่า และ คำให้การขุนหลวงหาวัด ระบุว่าพระองค์มีพระมารดามีพระนามว่าพระปทุมาเทวี[2][4] และเป็นพระราชอนุชาในสมเด็จพระนารายณ์มหาราช ซึ่งมีพระชนมายุห่างกันมากเปรียบพระเชษฐาเป็นพระชนกได้[5] แต่ คู่มือทูตตอบ ซึ่งเป็นเอกสารของราชบัณฑิตอยุธยา ระบุว่าเจ้าฟ้าอภัยทศมีพระชันษา 39 ปี ใน พ.ศ. 2224[1] พระองค์มีพระอนุชาที่มีพระชันษาไล่เลี่ยกันคือเจ้าฟ้าน้อย[6] โดยสมเด็จพระนารายณ์ก็ทรงอุปถัมภ์ค้ำชูพระอนุชาทั้งสองพระองค์นี้ราวกับเป็นพระบิดา[7] ทั้งทรงหมายมั่นที่จะมอบราชสมบัติแด่พระอนุชาพระองค์นี้ แต่ล้มเลิกในกาลต่อมา[5][8]

พระองค์มีพระวรกายพิการ กล่าวคือมีพระเพลาอ่อนแรงทั้งสองข้างใช้การมิได้[5] บาทหลวงปีแยร์ ล็องแบร์ เดอ ลา ม็อต (ฝรั่งเศส: Pierre Lambert de La Motte) ที่เคยเข้าเฝ้าเจ้าฟ้าอภัยทศในปี ค.ศ. 1668 บันทึกว่าทรงเป็นง่อย[9] บางแห่งว่าเป็นอัมพาต[10] คนทั่วไปจึงออกพระนามว่าเจ้าฟ้าง่อย[3] พระพักตร์มีไฝ[11] ทั้งมีพระอารมณ์ฉุนเฉียว โกรธง่าย และโปรดเสวยน้ำจัณฑ์เป็นนิจ[5] ทั้งยังเคยกล่าววาจาหยาบช้าต่อองค์พระมหากษัตริย์โดยไม่เกรงกลัวพระอาญา ด้วยเหตุนี้พระองค์จึงถูกกักในเขตพระราชฐาน แต่ก็มีพระบรมราชานุญาตให้เสด็จออกไปเที่ยวเตร่ในเมืองได้[5]

หลังเกิดกบฏพระไตรภูวนาทิตยวงศ์ สมเด็จพระนารายณ์มหาราชก็ไม่ไว้วางพระทัยในพระราชอนุชาทั้งสองอีกเลย แม้จะไม่ประหาร แต่ก็มิได้สถาปนาขึ้นเป็นพระมหาอุปราช[9] นอกจากนี้สมเด็จพระนารายณ์ยังเคยตั้งข้อกล่าวหาว่าเจ้าฟ้าอภัยทศทรงสมคบคิดกับแขกมลายูเพื่อประทุษร้ายองค์พระมหากษัตริย์ จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้คุมตัวไว้เสียที่ตำหนัก[5] และในปลายรัชกาล กลุ่มขุนนางฝ่ายปกครองและประชาคมมุสลิมอิหร่านผู้เสียผลประโยชน์ ได้ให้การสนับสนุนเจ้าฟ้าอภัยทศขึ้นครองราชสมบัติ และได้วางแผนก่อรัฐประหารในพระราชวัง[9] พระองค์จึงถูกกุมขังเดี่ยวภายในพระราชวังอยุธยา[12]

การผลัดแผ่นดิน

ขณะที่สมเด็จพระนารายณ์มหาราชซึ่งขณะนั้นยังทรงพระประชวรใกล้แก่กาลสวรรคต พระองค์มีพระราชประสงค์ให้พระราชอนุชาเสวยราชสมบัติ[10] ด้วยเหตุนี้พระเพทราชาจึงวางอุบายเพื่อจะสำเร็จโทษเจ้านายผู้มีสิทธิธรรมในการสืบราชบัลลังก์ต่อจากสมเด็จพระนารายณ์มหาราช โดยเจ้าฟ้าอภัยทศทรงเป็นหนึ่งในนั้นตามกฎมนเทียรบาล[5] เพราะสมเด็จพระนารายณ์ไม่มีพระราชโอรส พระเพทราชาจึงแสร้งไปทูลเจ้านายสามพระองค์ว่า สมเด็จพระนารายณ์ทรงพระประชวรเพียบหนัก และเป็นหน้าที่ของตนที่จะสถาปนาเจ้านายที่เหลือขึ้นเป็นพระมหากษัตริย์[13] เหล่าพระราชอนุชาและพระราชธิดาจึงเสด็จขึ้นไปยังเมืองลพบุรีด้วยความลังเล[14] เจ้าฟ้าอภัยทศเข้าพระทัยว่าจริง จึงเสด็จลงเรือพระที่นั่งไปยังเมืองลพบุรี ครั้นไปถึงวัดพระพรหม ตำบลปากน้ำโพสพ ก็เสด็จแวะหาพระพรหมครูครู่หนึ่ง แล้วนมัสการลาลงเรือพระที่นั่งไปลพบุรี[15]

เมื่อเจ้าฟ้าอภัยทศเสด็จไปถึง สมเด็จพระนารายณ์มหาราชสวรรคตไปแล้วครู่หนึ่ง[15] เบื้องต้นพระเพทราชาได้ถวายการต้อนรับเหล่าเจ้านายเป็นอย่างดี ก่อนลอบประหารพระยาวิไชเยนทร์ ต่อมาหลวงสรศักดิ์ เป็นผู้สำเร็จการแทนตำแหน่งพระมหาอุปราช ให้ข้าหลวงไปคุมพระราชอนุชาทั้งสองพระองค์และพระราชโอรสบญธรรมคลุมด้วยผ้ากำมะหยี่แล้วทุบด้วยท่อนจันทน์[16]วัดซาก (ต้นฉบับเขียนวัดทราก) แขวงเมืองลพบุรี[11][15] ได้แก่ เจ้าฟ้าอภัยทศ เจ้าฟ้าน้อย[17] และพระปีย์[6] แต่สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพทรงบันทึกไว้ว่าเจ้านายที่ถูกสำเร็จโทษเป็นพระราชอนุชาสองพระองค์คือ เจ้าฟ้าอภัยทศ พระอินทรราชาหรือพระองค์อินท์ และพระราชบุตรบุญธรรมคือพระปีย์[18] ส่วนกรมหลวงโยธาเทพ พระราชธิดาทรงถูกสงวนไว้สำหรับเป็นพระมเหสีของพระเพทราชา[19][20] แต่พระปีย์ พระราชบุตรบุญธรรมถูกสำเร็จโทษด้วยการผ่าร่างออกเป็นสามส่วน[21]

หลังการสวรรคตของสมเด็จพระนารายณ์มหาราชในวันถัดมา[16] พระเพทราชาจึงปราบดาภิเษกตนเองเป็นพระเจ้าแผ่นดินองค์ใหม่[22]

ใกล้เคียง

เจ้าฟ้าธรรมธิเบศไชยเชษฐ์สุริยวงศ์ เจ้าฟ้าเสือห่มเมือง เจ้าฟ้า เจ้าฟ้าหลวงอัตถวรปัญโญ เจ้าฟ้าหญิงมกุฎราชกุมารีมณีไลย เจ้าฟ้าสิริสุวรรณราชยสสรพรหมลือ เจ้าฟ้าน้อย เจ้าฟ้าชายวงศ์สว่าง มกุฎราชกุมารแห่งลาว เจ้าฟ้าอภัยทศ เจ้าฟ้าสิงหาราชธานีเจ้าฟ้าหลวงชายแก้ว