เทวนิยม[1] (
อังกฤษ: Theism) ในความหมายอย่างกว้างหมายถึงความเชื่อว่ามี
พระเป็นเจ้าหรือ
เทพเจ้า[2] ความหมายอย่างแคบคือเชื่อแบบ
เอกเทวนิยมว่ามีพระเจ้าองค์เดียวและทรงสัมพันธ์กับการดำรงอยู่ของ
เอกภพ[3][4][5] เทวนิยมยังเชื่อว่า
พระเจ้าทรงเป็นบุคคล และมีอำนาจปกครองและจัดการโลกและเอกภพ แนวคิดตามแบบแผนนี้อธิบายพระเจ้าในเชิงเอกเทวนิยมซึ่งปรากฏใน
ศาสนายูดาห์ ศาสนาคริสต์ ศาสนาอิสลาม และ
ศาสนาฮินดูในบางสำนัก คำว่า Theism ตามแนวคิดนี้เกิดขึ้นในช่วง
การปฏิวัติวิทยาศาสตร์ในคริสต์ศตวรรษที่ 17 เพื่อให้ต่างจากคำว่า
เทวัสนิยม ที่เชื่อว่ามีพระเจ้าเป็นอุตตรภาวะสูงสุด แต่พระเจ้ามิได้ทรงแทรกแซงโลกตามธรรมชาติ และมนุษย์รู้จักพระองค์ได้ด้วยการใช้เหตุผล ไม่ใช่โดยการ
วิวรณ์ ส่วน
สรรพเทวนิยมเชื่อว่าสรรพสิ่งคือพระเจ้า และ
พหุเทวนิยมเชื่อว่ามี
เทวดาหลายองค์ แต่ละองค์มีอำนาจต่าง ๆ กันไปคำว่า Theism มาจาก theos ใน
ภาษากรีกที่แปลว่า
เทพ นักปรัชญาชื่อ Ralph Cudworth ใช้คำนี้เป็นคนแรก
[6] ส่วน
อเทวนิยมเป็นการปฏิเสธความเชื่อแบบเทวนิยมในความหมายกว้าง คือไม่เชื่อว่ามีพระเจ้าองค์เดียว
[7] ถ้าปฏิเสธพระเจ้าในความหมายแคบ จะเรียกว่า เทวัสนิยม สรรพเทวนิยม พหุเทวนิยม ตามแต่ลักษณะของความเชื่อ ถ้าเห็นว่าพระเจ้าหรือเทวดาจะมีอยู่หรือไม่เราก็รู้ไม่ได้เรียกว่า
อไญยนิยม[8] ถ้าเชื่อว่ารู้ได้ (ว่ามีหรือไม่มี) ก็ถือว่าเป็นเทวนิยมหรืออเทวนิยม (ตามแต่ลักษณะความเชื่อ) เทวนิยมและอเทวนิยมจึงเป็นยืนยันหรือปฏิเสธการดำรงอยู่ของพระเจ้า แต่อไญยนิยมปฏิเสธการรับรู้
ผู้ที่ไม่มีศาสนาจะไม่เชื่อในเรื่องการมีสิ่งศักดิ์สิทธื์ใด ๆ เลย ศาสนาพุทธอาจจัดว่าเป็นทั้งเทวนิยมและอเทวนิยม นิกาย
เถรวาทและนิกาย
เซน เชื่อในกฎธรรมชาติ สร้างสรรพสิ่ง จัดเป็นอเทวนิยม
นิกายสุขาวดีและ
วัชรยาน เชื่อว่ามีพระ
อาทิพุทธะเป็นผู้สร้างโลกและสรรพสิ่งเฉกเช่นพระเจ้า จึงอาจจัดนิกายเหล่านี้เป็นเทวนิยมได้