เทอโรซอร์ (
อังกฤษ: Pterosaur
/ˈtɛrəˌsɔr,_ˈtɛroʊʔ/;
[4][5] จาก
ภาษากรีก "πτερόσαυρος", "pterosauros", หมายถึง "กิ้งก่ามีปีก") เป็น
สัตว์เลื้อยคลานกลุ่มหนึ่ง ที่ชีวิตและอาศัยอยู่ใน
ยุคก่อนประวัติศาสตร์เช่นเดียวกับ
ไดโนเสาร์ มีลักษณะพิเศษคือ สามารถบินได้ โดยใช้ปีกขนาดใหญ่ที่มีพังผืดเหมือน
ค้างคาวเป็นอวัยวะสำคัญ ปัจจุบันนี้ได้
สูญพันธุ์ไปหมดแล้วพร้อมกับไดโนเสาร์เทอโรซอร์ จัดอยู่ในอันดับ
Pterosauria โดยมักจะถูกเรียกว่า "ไดโนเสาร์บินได้" แต่ทั้งนี้เทอโรซอร์มิได้จัดว่าเป็นไดโนเสาร์แต่อย่างใด เหมือนกับ
เพลสิโอซอร์,
โมซาซอร์ หรือ
อิกทิโอซอรัส ที่พบในทะเลและมหาสมุทร
[6] นอกจากนี้แล้วเทอโรซอร์ยังเป็นที่รู้จักกันในอีกชื่อหนึ่ง คือ
เทอโรแดกทิล โดยคำว่าเทอโรแดกทิลนั้นหมายถึงเทอโรซอร์ในระยะหลังที่มีขนาดใหญ่ และไม่มีฟัน และในทางเทคนิคจะหมายถึงเทอโรซอร์ในสกุล
เทอโรแดกทิลัส[7] เทอโรซอร์มีชีวิตอยู่ในช่วง
มหายุคมีโซโซอิก สืบทอดเผ่าพันธุ์และครองโลกมาอย่างยาวนานถึง 162 ล้านปี ก่อนจะสูญพันธุ์ไปทั้งหมดในช่วงยุค
ครีเตเชียสตอนปลายเช่นเดียวกับไดโนเสาร์
[8] ปัจจุบัน นัก
บรรพชีวินวิทยาได้จำแนกความหลากหลายของเทอโรซอร์ออกได้มากกว่า 200
ชนิด มีความแตกต่างหลากหลายกันออกไปในแต่ละชนิดหรือแต่ละวงศ์ เทอโรซอร์ถูกค้นพบครั้งแรกในรูปแบบ
ซากดึกดำบรรพ์ในยุคศตวรรษที่ 19 ซากดึกดำบรรพ์ของเทอโรซอร์พบได้ในทั่วทุกภูมิภาคของโลก เทอโรซอร์ที่เก่าแก่ที่สุดถือกำเนิดในยุค
ไทรแอสซิกเมื่อ 228 ล้านปีก่อน โดยบรรพบุรุษของเทอโรซอร์นั้นมีรูปร่างเล็กมาก โดยมีขนาดพอ ๆ กับ
นกกระจอกในยุคปัจจุบัน เช่น
พรีออยแดกกิลุส บัฟฟารีนีโอ ที่มีความกว้างของปีกแค่ 0.5 เมตร เชื่อกันว่าอาศัยอยู่ในป่าทึบกินแมลง เช่น
แมลงปอ เป็นอาหาร หรือ
แครีเรมัส เซซาพลาเนนซิส ที่มีความกว้างของปีก 1 เมตร เทอโรซอร์ในยุคแรกจะมีขนาดลำตัวเล็ก บางจำพวกมีหางยาว เช่น
ดิมอร์โฟดอน แมโครนิกซ์ ที่มีความกว้างของปีก 1.2 เมตร น้ำหนัก 1.8 กิโลกรัม มีหางยาวที่แข็ง คอสั้น หัวมีขนาดใหญ่ มีฟันแหลมคม และกระดูกกลวงบางส่วน ทั้งนี่้เชื่อว่าเทอโรซอร์วิวัฒนาการมาจากสัตว์เลื้อยคลานขนาดเล็ก ๆ ที่กระโดดหรือใช้ชีวิตอยู่บนต้นไม้เป็นหลักด้วยการหากินและหลบหลีกศัตรู
[9]เทอโรซอร์ ได้วิวัฒนาการมาเป็นลำดับขั้นตามยุคสมัยไปเรื่อย ๆ เช่น ยุค
จูแรสซิก จนกระทั่งถึงยุคครีเตเชียส เทอโรซอร์ที่มีขนาดใหญ่ที่สุด คือ
เคตซัลโคแอตลัส นอร์โทรพี มีความสูงเท่า ๆ กับ
ยีราฟ มีความกว้างของปีก 10.5 เมตร พอ ๆ กับเครื่องบินรบ
เอฟ-16 น้ำหนักตัวถึง 200 กิโลกรัม เฉพาะส่วนหัวรวมถึงจะงอยปากด้วยก็ยาวถึง 3 เมตรแล้ว จัดเป็นสิ่งมีชีวิตที่บินได้ขนาดใหญ่ที่สุดเท่าที่โลกเคยมีมา และเชื่อว่าชอบที่จะกินลูกโดโนเสาร์เป็นอาหาร ตามหลักฐานจากการศึกษาซากดึกดำบรรพ์พบว่า เทอโรซอร์ในยุคหลังนั้นมีขนปกคลุมลำตัวบาง ๆ ด้วย จึงเชื่อกันว่าน่าจะเป็น
สัตว์เลือดอุ่น ทั้งนี้มีไว้เพื่อเป็นเสมือนฉนวนกักความอบอุ่นให้แก่ร่างกาย เช่น
เจโฮลอปเทอรัส ที่พบในจีน ซึ่งมีลักษณะปากกว้างคล้ายกบ เป็นต้น
[9]เทอโรซอร์ใช้ลักษณะการบินแบบเดียวกับค้างคาว เมื่ออยู่กับพื้นจะใช้วิธีการทะยานตัวออกไปจากท่ายืนสี่เท้าโดยรยางค์ของร่างกาย มีตีนขนาดเล็กเพื่อช่วยลดแรงต้าน เมื่อบินสามารถปรับเปลี่ยนท่าทางการบินได้เล็กน้อย เช่น การหดกล้ามเนื้อปีก หรือขยับข้อเท้าเข้าและออก การเปลี่ยนมุมกระดูกข้อปีก เป็นต้น เมื่อเทียบกับนกแล้ว เทอโรซอร์ยังมีกล้ามเนื้อสำหรับการบินมากกว่า และมีสัดส่วนของน้ำหนักร่างกายมากกว่า แม้แต่สมองก็ดูเหมือนจะวิวัฒนาการขึ้นมาเพื่อการบิน โดยมีกลีบสมองขยายใหญ่ขึ้นเพื่อประมวลผลข้อมูลประสาทรับความรู้สึกที่ซับซ้อนจากเยื่อปีก เทอโรซอร์มีไหล่ขนาดใหญ่ที่เต็มไปด้วยกล้ามเนื้อ และลักษณะปีกของเทอโรซอร์ประกอบด้วยเยื่อที่ยึดติดกับสีข้างจากไหล่ไล่ลงไปจนถึงข้อเท้าแต่ละข้าง และเหยียดออกโดยนิ้วที่สี่ที่ยืดยาวไปอย่างน่าทึ่งไปตามขอบหน้าของปีก เยื่อปีกร้อยรัดไปด้วยกล้ามเนื้อและเส้นเลือด และเสริมความแข็งแกร่งด้วยพังผืด
[9]ลักษณะของเทอโรซอร์นั้นมีความแตกต่างหลากหลายกันมาก บางจำพวกมีหงอนด้วย สันนิษฐานว่ามีไว้สำหรับดึงดูดเพศตรงข้าม โดยว่ามีลักษณะที่แตกต่างหลากหลายกันออกไป เช่น
ทูนแพนแดกทิอุส แนวีแกนส์ ซึ่งเป็นเทอโรซอร์ในยุคแรก ๆ และ
ทาเลสไซโครมีอุส เซที ที่มีช่วงปีกกว้าง 4 เมตร เชื่อว่ามีหงอนที่มีสีสันที่สดใส จะงอยปากก็มีความหลากหลายแตกต่างออกไปตามแต่ลักษณะการใช้หาอาหาร เช่น บางชนิดมีฟันแหลมคมเต็มปากเห็นได้ชัดเจนใช้สำหรับการจับปลาในน้ำ เช่น
แอนเฮงรา พิสเคเตอร์ หรือ
ซันแกริปเทอรัส ที่พบในภาคตะวันออกเฉียงเหนือของจีน ที่มีจะงอยปากยาวและงอนขึ้นใช้สำหรับสำรวจและช้อนเอาสัตว์ขนาดเล็กที่ไม่มีกระดูกสันหลังหรือ
ครัสเตเชียนกินเป็นอาหาร หรือบางจำพวก หากินโดยการใช้วิธีการยืนในแหล่งน้ำเค็มตื้น ๆ แล้วใช้การกรองกินสัตว์ขนาดเล็ก ๆ จำพวกครัสเตเชียน เหมือนกับวิธีการกินของ
นกฟลามิงโกในยุคปัจจุบัน หรือบางสกุล เช่น
นิกโตซอรัส ซึ่งเป็นเทอโรซอร์ในทะเลลักษณะคล้าย
นกอัลบาทรอสที่มีระยะระหว่างปลายปีกสองข้างกว้างเกือบ 3 เมตร มีอัตราส่วนการร่อน หรือระยะทางที่เคลื่อนไปข้างหน้าได้ต่อการลดระดับลงทุกหนึ่งเมตร จัดเป็นนักร่อนชั้นดี และจากการพบลักษณะของซากดึกดำบรรพ์พบว่า เทอโรซอร์บางกลุ่มก็อาศัยอยู่รวมกันเป็นนิคมหรือคอโลนีเหมือนกับนกทะเลหลายชนิดในปัจจุบัน คือ
ไคยัวฮารา โครบรัสกิอี โดยพบหลักฐานว่า ตายพร้อมกันถึง 47 ตัว
[9] หรือ
ฮามิปเทอรัส เทียนซานเอนซิส ที่มีชีวิตอยู่ในยุคต้นครีเตเชียสเมื่อ 120 ล้านปีมาแล้ว ในแถบ
เขตปกครองตนเองซินเจียงอุยกูร์ ทางภาคตะวันตกเฉียงเหนือของจีน ที่พบหลักฐานการวางไข่จำนวน 215 ฟอง และพบ
ตัวอ่อนในไข่ด้วย ซึ่งตัวอ่อนบางตัวพบว่าขาหน้าพัฒนาการได้ช้ากว่าขาหลัง จึงสันนิษฐานว่าไม่สามารถบินได้เมื่อแรกเกิด และเชื่อว่าอาจจะมีจำนวนไข่มากถึง 300 ฟอง
[10]ปัจจุบัน ได้มีศึกษาของนักบรรพชีวินวิทยาแห่งออสเตรเลีย พบว่า เทอโรซอร์และบรรพบุรุษของนกสามารถอยู่ร่วมกันได้โดยสันติ มิได้มีการแข่งขันกันแต่อย่างใด ทั้งที่ก็ต่างเป็นสัตว์ที่บินได้เหมือน ๆ กัน โดยจากการศึกษาทาง
สัณฐานวิทยาเชื่อว่า ทั้งนกและเทอโรซอร์จะมีความเกี่ยวข้องกันในช่วงเวลาสั้น ๆ และแม้ว่าเทอโรซอร์มีวิวัฒนาการร่างกายใหญ่โตกว่า ก็เพื่อหลีกเลี่ยงการต่อสู้แข่งขันด้านทรัพยากรกับเหล่านกที่ขนาดเล็กกว่านั่นเอง โดยนกก็มีลักษณะทางสัณฐานวิทยา รวมถึงลักษณะการบิน การเดิน และหาอาหารแตกต่างจากเทอโรซอร์
[11]เทอโรซอร์ ได้มีการอ้างอิงถึงใน
วัฒนธรรมร่วมสมัยหลายประการ โดยมักให้ภาพในลักษณะของความเป็นผู้ร้าย คือ เป็นสัตว์เลื้อยคลานบินได้ที่ดุร้าย และตะกละตะกลาม
[9] เช่น ในการ์ตูนญี่ปุ่นเรื่อง
โดเรมอน ตอน
โดราเอมอน ตอน ไดโนเสาร์ของโนบิตะ ในปี ค.ศ. 1980
[12]หรือในภาพยนตร์ฮอลลีวูด ชุด
Jurassic Park ภาค 2
The Lost World ในปี ค.ศ. 1997 หรือภาค
Jurassic Park III ในปี ค.ศ. 2001
[13]หรือ
The Dinosaur Project ในปี ค.ศ. 2012
[14]และ
Jurassic World ในปี ค.ศ. 2015 เป็นต้น
[15]ทั้งนี้ เทอโรซอร์มักถูกกล่าวอ้างจากนัก
สัตว์ประหลาดวิทยาว่าเป็น
สัตว์ประหลาดบินได้ที่มีการพบเห็นและรายงานตามที่ต่าง ๆ ทั่วโลก เช่น
คองกามาโต ที่พบในหนองน้ำในป่าทึบของใจกลางทวีปแอฟริกา ที่ถูกระบุรูปร่างว่าเหมือนกับดิมอร์โฟดอน หรือ
โรเพน ในอินโดนีเซียและปาปัวนิวกินี ที่ถูกระบุว่ามีผู้พบเห็นว่าขณะบินสามารถเรืองแสงได้ด้วย เป็นต้น
[16]