เมฆฝุ่นระหว่างดาวเคราะห์ (interplanetary dust cloud) หรือ
ฝุ่นระหว่างดาวเคราะห์ (interplanetary dust)
[2] คือ
ฝุ่นคอสมิกภายใน
ระบบสุริยะ เป็นสมาชิกที่มีขนาดเล็กที่สุดของ
วัตถุขนาดเล็กในระบบสุริยะคำจำกัดความที่ได้รับการรับรองจากคณะกรรมาธิการ
สหพันธ์ดาราศาสตร์สากล (IAU) เกี่ยวกับ
ดาวตก อุกกาบาต และฝุ่นระหว่างดาวเคราะห์เมื่อวันที่ 30 เมษายน 2017 ได้ระบุว่า ฝุ่นระหว่างดาวเคราะห์ เป็นสสารของแข็งที่แตกละเอียดโดยทั่วไปมีขนาดเล็กกว่าอุกกาบาต (ซึ่งมีเส้นผ่านศูนย์กลาง 30
ไมโครเมตร ถึง 1
เมตร)
[3] จากข้อเท็จจริงเชิงสังเกตการณ์ อาจคิดได้ว่าจุดกำเนิดของฝุ่นระหว่างดาวเคราะห์นั้นไม่ได้อยู่ในช่วงการก่อตัวของระบบสุริยะ แต่เกิดในช่วง 100 ล้านปีที่ผ่านมา โดยเกิดจากการชนกันระหว่างดาวเคราะห์น้อย ถูกปล่อยออกจากดาวหาง และการชนระหว่างวัตถุท้องฟ้าชั้นนอกด้วยกันเอง หรือวัตถุท้องฟ้าชั้นนอกชนกับฝุ่นระหว่างดวงดาวฝุ่นระหว่างดาวเคราะห์ยังทำให้เกิด
แสงจักรราศี ที่สามารถมองเห็นได้ในท้องฟ้าด้านทิศตะวันตกหลังพระอาทิตย์ตกดินหรือในท้องฟ้าด้านทิศตะวันออกก่อนพระอาทิตย์ขึ้น โดยจะเห็นได้ชัดในพื้นที่ที่มืดมิดมีบรรยากาศปลอดโปร่งและไม่มีแสงประดิษฐ์หรือแสงจันทร์ ดังนั้นจึงมีอีกชื่อเรียกว่า
เมฆจักรราศี (zodiacal cloud)การเคลื่อนที่ของฝุ่นระหว่างดาวเคราะห์ไม่เพียงแต่ได้รับผลกระทบจาก
ความโน้มถ่วงของดวงอาทิตย์เท่านั้น แต่ยังได้รับผลกระทบจาก
ความดันรังสีของดวงอาทิตย์ด้วย แรงโน้มถ่วงจะแปรตาม
ปริมาตร (หรือที่จริงคือแปรตาม
มวล) ในขณะที่ความดันรังสีจะเป็นสัดส่วนกับพื้นที่หน้าตัด เนื่องจากความดันรังสีของดวงอาทิตย์
แปรผกผันกับกำลังสองของระยะห่าง จากดวงอาทิตย์ ผลกระทบที่ปรากฏจึงเหมือนกับการทำให้แรงโน้มถ่วงจากดวงอาทิตย์อ่อนลง ดังนั้นฝุ่นที่เคลื่อนที่ด้วยความเร็วตาม
กฎการเคลื่อนที่ของดาวเคราะห์ของเค็พเพลอร์ในแรงโน้มถ่วงของดวงอาทิตย์จะมีความเร็วสูงเกินไป และถูกผลักออกไปด้านนอก ด้วยเหตุนี้ อนุภาคฝุ่นที่มีขนาดเล็กกว่า 1 ไมโครเมตรจึงถูกขับออกจากระบบสุริยะในเวลาอันสั้นเมื่อเทียบกับอายุของระบบสุริยะสำหรับฝุ่นที่มีขนาดใหญ่กว่านี้ โดยทั่วไปจะมีขนาด 10 ถึง 100 ไมโครเมตร ผลกระทบอื่นจะมีความสำคัญ ฝุ่นไม่เพียงแต่สะท้อนแสงอาทิตย์เท่านั้น แต่ยัง
ดูดกลืนและ
แผ่รังสีออกมาอีกด้วย ในกระบวนการดูดกลืนและแผ่รังสีแสงอาทิตย์อีกครั้งโดยฝุ่นที่เคลื่อนที่ตามกฎของเค็พเพลอร์ใน
สนามรังสีดวงอาทิตย์
ความคลาดของแสงจะส่งผลให้มีการหน่วงในทิศทางการเคลื่อนที่ (ซึ่งสามารถอธิบายได้ด้วย
ทฤษฎีสัมพัทธภาพพิเศษ) ผลก็คือทำให้สูญเสีย
โมเมนตัมเชิงมุม ผลที่ตามมาก็คือ ฝุ่นจะตกลงมาในวิถีแบบเป็นเกลียวหมุนเข้าหาดวงอาทิตย์ (
ปรากฏการณ์พอยน์ติง–รอเบิร์ตสัน) ด้วยเหตุนี้ ฝุ่นที่เกิดขึ้นใน
แถบดาวเคราะห์น้อยจึงจะหายไปภายใน 10 ล้านปี