สมัยโรสบรี ของ เมนต์มอร์ทาวเวอส์

หลังจากเมนต์มอร์ทาวเวอส์สร้างเสร็จได้ไม่นานบารอนและภรรยาก็มีชีวิตอยู่ได้ไม่นาน หลังจากบารอนเนสสิ้นชีวิตแล้วคฤหาสน์ก็ตกไปเป็นของลูกสาว--ฮันนาห์ พริมโรส เคานเทสแห่งโรสบรี[4] เมื่อฮันนาห์สิ้นชีวิตในปี ค.ศ. 1890 เมื่ออายุเพียง 39 ปีจากไตอักเสบ (Bright's Disease หรือที่เรียกว่า Nephritis ในปัจจุบัน) เมนต์มอร์ทาวเวอส์จึงตกไปเป็นของสามีอาร์ชิบอลด์ พริมโรส เอิร์ลแห่งโรสบรีที่ 5 ผู้ต่อมาเป็นนายกรัฐมนตรีอยู่สองปีตั้งแต่ปี ค.ศ. 1894[4] ในคริสต์ทศวรรษ 1920 อาร์ชิบอลด์ก็มอบคฤหาสน์ให้ลูกชายs the fifth earl gave the estate to his son แฮรี ผู้กลายมาเป็นเอิร์ลแห่งโรสบรีคนที่หกหลังจากที่บิดาเสียชีวิต[4]

เอิร์ลทั้งพ่อและลูกเป็นนักผสมพันธุ์ม้าแข่งที่มีโรงเลี้ยงม้าสำหรับผสมพันธุ์สองแห่ง รวมทั้งม้าที่ได้รับชัยชนะในการแข่งขันเอ็พซอมดาร์บี (Epsom Derby) ห้าตัว โรงม้าอยู่ห่างจากตัวคฤหาสน์เพียงไม่ถึงหนึ่งกิโลเมตร และออกแบบโดยสถาปนิกจอร์จ เดวีย์ (George Devey) ผู้ออกแบบกระท่อมอีกหลายหลังภายในหมู่บ้านเมนต์มอร์, หมู่บ้านคราฟตัน และหมู่บ้านเล็ดเบิร์นของคฤหาสน์

ระหว่างสงครามโลกครั้งที่สอง ทางรัฐบาลก็ย้ายราชรถม้าหลวง (Gold State Coach) มาเก็บไว้ที่เมนต์มอร์เพื่อป้องกันจากการถูกทำลายโดยลูกระเบิด

The staircase (7), view to the Grand Hall (1).

หลังจากเอิร์ลแห่งโรสบรีที่ 6 เสียชีวิตในปี ค.ศ. 1973 รัฐบาลพรรคกรรมกรที่นำโดยเจมส์ คัลลาฮานไม่ยอมรับข้อเสนอในการรับสิ่งของภายในคฤหาสน์แทนการจ่ายภาษีมรดกเป็นตัวเงิน ซึ่งถ้ารับคฤหาสน์ก็จะกลายเป็นพิพิธภัณฑ์ที่งานสะสมที่ดีที่สุดแห่งหนึ่งของเครื่องเรือนแบบยุโรป, งานศิลปะ (objets d'art) และงานสถาปัตยกรรมของสมัยวิคตอเรีย ทางฝ่ายคฤหาสน์เสนอขายบ้านและทรัพย์สินภายในให้แก่รัฐบาลเป็นจำนวน 2,000,000 ปอนด์แต่รัฐบาลไม่ตกลงหลังจากการเจรจาต่อรองกันอยู่สามปี หลังจากนั้นผู้จัดการมรดกจึงประมูลขายทรัพย์สินภายในคฤหาสน์ได้เป็นจำนวนกว่า 6,000,000 ปอนด์ ในบรรดางานจิตรกรรมที่ขายไปก็ได้แก่งานของทอมัส เกนส์เบรอ, โจชัว เรย์โนลด์ส, ฟร็องซัว บูเช, โจวันนี บัตติสตา โมโรนี (Giovanni Battista Moroni) และจิตรกรคนสำคัญ ๆ อื่น ๆ และงานเฟอร์นิเจอร์โดยช่างผู้มีชื่อเสียงที่รวมทั้งฌ็อง อ็องรี รีเซอเนอร์ (Jean Henri Riesener) และทอมัส ชิปเพนเดล (Thomas Chippendale) นอกจากงานจิตรกรรมแล้วก็ยังมีงานของช่างทองฝีมือดีจากเยอรมนีและรัสเซีย และงานเครื่องเคลือบที่มีชื่อเสียงของลีมอฌ (Limoges) กล่าวกันว่างานสะสมของรอทไชลด์/เมนต์มอร์ถือกันว่าเป็นงานสะสมส่วนบุคคลที่มีคุณค่าดีที่สุดนอกไปจากงานสะสมของรัสเซียและราชสำนักอังกฤษ[5]

ตัวบ้านเปล่า ๆ ที่ไม่มีการเปลี่ยนแปลงตั้งแต่สร้างมาขายในปี ค.ศ. 1977 เป็นจำนวนเงิน 220,000 ปอนด์แก่ขบวนการธรรมสมาธิ[6] (Transcendental Meditation movement) ที่ก่อตั้งโดยมหาริชี มเหช โยคี[7] (Maharishi Mahesh Yogi) ในปี ค.ศ. 1992 ขบวนการนี้ก็ยกฐานะให้เมนต์มอร์เป็นสำนักงานกลางของแขนงการเมืองของลัทธิที่เรียกว่า "พรรคกฎธรรมชาติ" (Natural Law Party)

ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1977 ถึงปี ค.ศ. 1979 เมนต์มอร์ก็เป็นที่ตั้งของสำนักงานกลางของขบวนการธรรมสมาธิ ที่ใช้ในการประชุมหรือสัมนนา หรือการศึกษาระยะยาวเกี่ยวกับธรรมสมาธิและ ในการประชุมเกี่ยวกับการแสดงหาความสันติสุขแก่โลก เมื่อต้นปี ค.ศ. 1979 มหาริชี มเหช โยคีก็นำชายหนุ่มราวร้อยคนและครูที่สอนการทำธรรมสมาธิไปยังคฤหาสน์เพื่อให้เป็นการมีโครงการธรรมสมาธิเป็นการต่อเนื่อง เมนต์มอร์เป็นที่ตั้งของ "รัฐบาลโลกเพื่อยุคแห่งการเรืองปัญญา" (World Government for the Age of Enlightenment) ที่ก่อตั้งในปี ค.ศ. 1975 และใช้เป็นที่ริเริ่มรัฐสภาเมือง (City Parliaments) สำหรับเมืองใหญ่ ๆ ในสหราชอาณาจักร ในช่วงสามปีระหว่างปี ค.ศ. 1979 จนถึงปี ค.ศ. 1982) เมนต์มอร์เป็นที่ที่มีเหตุการณ์ต่าง ๆ เกิดขึ้นอย่างมากมายที่รวมทั้งงานเลี้ยงเพื่อชวนเชิญผู้เชี่ยวชาญจากสถาบันการศึกษา, รัฐบาล หรือนักธุรกิจให้เข้ามามีส่วนร่วม นอกจากนั้นก็มีการก่อตั้งห้องทดลองต่าง ๆ ในปีกคนรับใช้เพื่อใช้ในการค้นคว้าเกี่ยวกับธรรมสมาธิ ที่บริหารในชื่อ "มหาวิทยาลัยมหาริชีแห่งการค้นคว้าแห่งยุโรป" (Maharishi European Research University) หรือ MERU หลังจากที่สถาบันชื่อเดียวกันได้รับก่อตั้งขึ้นในสวิสเซอร์แลนด์ จากนั้นก็มีการจัดการสัมนากันขึ้นหลายครั้งเพื่อเป็นเครื่องกระตุ้นให้สถาบันการศึกษาหันมาสนใจในการค้นคว้าเกี่ยวกับธรรมสมาธิ โดยเฉพาะมหาวิทยาลัยออกซฟอร์ดและมหาวิทยาลัยเคมบริดจ์

ในปี ค.ศ. 1982 เมนต์มอร์ก็กลายเป็นที่ตั้งของมหาวิทยาลัยมหาริชีแห่งกฎธรรมชาติในปี ค.ศ. 1992 บทบาทของเมนต์มอร์ก็เปลี่ยนไปอีกครั้งนี้กลายเป็นสำนักงานกลางของพรรคกฎธรรมชาติซึ่งมีผู้สมัครเข้ารับเลือกตั้งเป็นตัวแทนของพรรคกว่า 300 คนในปีการเลือกตั้งนั้น

ขบวนการธรรมสมาธิหารายได้จากการสัมนาและอื่น ๆ เช่นการจัดคอนเซิร์ต แต่หลังจากปี ค.ศ. 1982 แล้วจำนวนสมาชิกก็ลดน้อยลงตามลำดับจนเหลือเพียงราวสามสิบคนก่อนที่เมนต์มอร์จะถูกขายต่อไป

ใกล้เคียง

เมนต์มอร์ทาวเวอส์ เซนต์เซย์ย่า เซนต์ปีเตอส์เบิร์ก เซนต์เซย์ย่า ภาค The Lost Canvas จ้าวนรกฮาเดส เซนต์เจมส์พาร์ก เซนต์หลุยส์ เซนต์เบอร์นาร์ด (พันธุ์สุนัข) เซนต์ เซนต์แมรีส์สเตเดียม เซนต์เซย์ย่า โอเมก้า