การทำงาน ของ เรืองไกร_ลีกิจวัฒนะ

เรืองไกรเป็นที่รู้จักเป็นครั้งแรกของสังคมด้วยการปรากฏเป็นข่าวในต้นปี พ.ศ. 2549 ว่า กรมสรรพากรได้คืนเช็คให้แก่นายเรืองไกร แต่นายเรืองไกรไม่ได้ไปขึ้นเงิน เพราะเป็นกรณีเปรียบเทียบกับกรณีที่กรณีตระกูลชินวัตรและดามาพงศ์ขายหุ้นกลุ่มบริษัทชินคอร์ปได้ ซึ่งนายเรืองไกร ซื้อหุ้นบริษัท ทางด่วนกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) ต่อจากบิดาในราคา 10 บาท จากราคาตลาด 21 บาท ต้องเสียภาษี แต่กรณีของตระกูลชินวัตรและดามาพงศ์กลับไม่ต้องเสียภาษี และนายเรืองไกรยังได้ยื่นฟ้องร้องเรื่องการที่กรมสรรพากรกระทำการนี้ด้วยสองมาตรฐานอีกด้วย

จากกรณีนี้ทางฝ่ายพรรคไทยรักไทยและกลุ่มผู้สนับสนุน พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ได้กล่าวหาว่า นายเรืองไกรมีความสนิทสนมกับคุณหญิงจารุวรรณ เมณฑกา อดีตผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน ซึ่งฝ่ายที่สนับสนุน พ.ต.ท.ทักษิณ ถือว่าเป็นบุคคลที่อยู่ตรงข้ามกับฝ่ายตน

หลังจากนั้น นายเรืองไกรได้สมัครลงเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภากรุงเทพมหานคร ในวันที่ 19 เมษายน พ.ศ. 2549 โดยได้หมายเลข 222 แต่ไม่ได้รับการเลือกตั้ง

นายเรืองไกรได้รับคัดเลือกให้เป็นสมาชิกวุฒิสภาในแบบสรรหา เมื่อวันที่ 2 มีนาคม พ.ศ. 2551 ซึ่งนายเรืองไกรจัดอยู่ในกลุ่ม 40 สว.

หลังจากนั้น ชื่อของนายเรืองไกรปรากฏเป็นข่าวอีกในเดือนพฤษภาคม ว่าได้ยื่นฟ้องร้อง นายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรี ว่าการจัดรายการโทรทัศน์ชิมไป บ่นไป ทางช่อง 3 เป็นการผิดรัฐธรรมนูญมาตรา 267 ในเรื่องผลประโยชน์ทับซ้อน หรือไม่ ซึ่งศาลรัฐธรรมนูญก็ได้ตัดสินให้นายสมัครพ้นจากตำแหน่ง ในวันที่ 9 กันยายน ปีเดียวกัน

จากเหตุการณ์การตรวจสอบการกระทำของภาครัฐอันมิชอบหลายกรณีนี้ ทำให้นายเรืองไกรได้รับฉายาว่า "แจ็คผู้ฆ่ายักษ์" และในวันที่ 14 ธันวาคม ปีเดียวกันนั้น สภามหาวิทยาลัยรังสิตได้มีมติมอบปริญญาดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ สาขาวิชาผู้นำทางสังคม ธุรกิจและการเมือง แก่นายเรืองไกร พร้อมกับคณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ หรือ คตส. และนายวีระ สมความคิด ด้วย

แต่ในกลางเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553 นายเรืองไกรที่เคยมีท่าทีว่าเป็นผู้ตรวจสอบ พ.ต.ท.ทักษิณ และพรรคพวกมาโดยตลอด กลับไปร่วมเสวนากับทางกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) หลายต่อหลายครั้ง โดยเริ่มจากการเสวนาของกลุ่มกรุงเทพ 50 ที่โรงแรมมิราเคิลแกรนด์ จนถูกตั้งข้อสงสัยถึงเรื่องจุดยืน[1][2] ปัจจุบัน นายเรืองไกรเป็นสมาชิกพรรคเพื่อไทย [3] และในการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรไทยเป็นการทั่วไป พ.ศ. 2557 เขาได้สมัครรับเลือกตั้งในระบบบัญชีรายชื่อ สังกัดพรรคเพื่อไทย ลำดับที่ 41[4]ภายหลังรัฐประหารในประเทศไทย พ.ศ. 2557 คณะรักษาความสงบแห่งชาติออกคำสั่งคณะรักษาความสงบแห่งชาติที่ 42/2557 เรียกเขาให้ไปรายงานตัว ณ ห้องจามจุรี สโมสรทหารบก เทเวศร์[5]เขาถูกทหารควบคุมตัวอีกครั้งในวันที่ 3 กุมภาพันธ์ 2558 และออกจากมณฑลทหารบกที่ 11 ในวันที่ 7 กุมภาพันธ์ 2558[6]ในวันที่ 28 มิถุนายน พ.ศ. 2560 ศาลมีคำสั่งรับฟ้องคดีหมายเลขดำ อ.812/2559 ที่นายวัชระ เพชรทอง อดีต ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ เป็นโจทก์ ยื่นฟ้องนายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ สมาชิกพรรคเพื่อไทย และอดีต ส.ว. กับนายธาริต เพ็งดิษฐ์ อดีตอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) เป็นจำเลยที่ 1-2 ในความผิดฐานแจ้งความเท็จ ให้พนักงานจดแจ้งข้อความอันเป็นเท็จ และหมิ่นประมาท

ในปี พ.ศ. 2561 เขาสมัครเป็นสมาชิกพรรคไทยรักษาชาติ และต่อมาหลังการเลือกตั้ง พ.ศ. 2562 เขาได้รับการแต่งตั้งเป็น เลขานุการคณะกรรมาธิการคนที่4

ใกล้เคียง

เรืองศักดิ์ ลอยชูศักดิ์ เรืองฤทธิ์ ศิริพานิช เรืองวิทย์ ลิกค์ เรืองโรจน์ มหาศรานนท์ เรืองไกร ลีกิจวัฒนะ เรือง เรืองวีรยุทธ เรืองอุไร กุศลาสัย เรืองเดช สุพรรณฝ่าย เรืองวิทย์ ดุษฎีสุรพจน์ เรืองศักดิ์ งามสมภาค

แหล่งที่มา

WikiPedia: เรืองไกร_ลีกิจวัฒนะ http://talk.mthai.com/topic/97426 http://www.oknation.net/blog/NiiiiZ/2010/02/22/ent... http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1... http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1... http://www.ratchakitcha.soc.go.th/DATA/PDF/2551/B/... http://www.ratchakitcha.soc.go.th/DATA/PDF/2552/B/... http://www.ratchakitcha.soc.go.th/DATA/PDF/2557/A/... http://www.ratchakitcha.soc.go.th/DATA/PDF/2557/E/...