อิทธิพล ของ เลออโคออนและบุตร

การพบประติมากรรม "เลออโคออนและบุตร" สร้างความประทับใจและมีผลต่อประติมากรชาวอิตาลี และมีอิทธิพลต่อการวิวัฒนาการงานศิลปะในยุคฟื้นฟูศิลปวิทยาอิตาลี กล่าวกันว่าไมเคิล แอนเจโลมีความประทับใจในขนาดและความยั่วยวนของงานประติมากรรมของกรีกเป็นอันมาก โดยเฉพาะการแกะสลักร่างกายของชาย อิทธิพลของ "เลออโคออน" จะเห็นได้ชัดในงานประติมากรรมหลายชิ้นที่สร้างโดยไมเคิล แอนเจโลในตอนปลายเช่น "ทาสปฏิวัติ" (Rebellious Slave) หรือ "ทาสใกล้ตาย" (Dying Slave) ที่สร้างสำหรับอนุสรณ์ผู้ตายของสมเด็จพระสันตะปาปาจูเลียสที่ 2

กอทโธลด์ เอเฟรม เลสซิง (Gotthold Ephraim Lessing) เขียนบทความศึกษางานประติมากรรมชิ้นนี้ในบทความ "เลออโคออน" ที่กล่าวถึงการเสียชีวิตอย่างวีรบุรุษในหัวข้องหนึ่ง บทความ "เลออโคออน" ถือกันว่าเป็นงานเขียนวิจารณ์ศิลปะหนึ่งในบรรดางานเขียนประเภทนี้เป็นครั้งแรก

สมเด็จพระสันตะปาปาลีโอที่ 10 ทรงจ้างให้ประติมากรชาวฟลอเรนซ์บาร์โทโลเมโอ บันดิเนลลิ สร้างก็อปปีของงานชิ้นนี้ "เลออโคออน" ของบาดิเนลลิ (ที่ได้รับการก็อปปีหลายครั้ง) ปัจจุบันอยู่ที่หอศิลป์อุฟฟิซิ[9] ส่วนงานชิ้นที่หล่อด้วยสำริดที่หล่อจากพิมพ์ที่สร้างจากงานต้นฉบับสำหรับพระเจ้าฟรองซัวส์ที่ 1 แห่งฝรั่งเศสเพื่อนำไปตั้งที่พระราชวังฟงแตนบโลในปัจจุบันอยู่ที่พิพิธภัณฑ์ลูฟร์

ทิเชียนสร้างงานล้อชิ้นหนึ่งที่เป็นภาพลิงสามตัวแทนที่จะเป็นมนุษย์ งานล้อนี้ตีความหมายกันว่าเป็นการเยาะเย้ยงานก็อปปีที่ไม่ถึงขั้นของบันดิเนลลิ แต่ก็มีผู้ค้านว่าเป็นงานที่สร้างขึ้นเพื่อโต้ตอบการโต้เถียงกันเกี่ยวกับความคล้ายคลึงของกายวิภาคระหว่างมนุษย์และลิง[10]

ประติมากรรมชิ้นที่เป็นต้นฉบับถูกจักรพรรดินโปเลียนที่ 1 นำกลับไปปารีสหลังจากที่ทรงพิชิตอิตาลีได้ในปี ค.ศ. 1799 และทรงนำไปตั้งไว้ที่พิพิธภัณฑ์นโปเลียนที่ลูฟร์ ที่กลายมาเป็นสิ่งที่มีอิทธิพลต่องานศิลปะในฝรั่งเศสในสมัยฟื้นฟูคลาสสิก หลังจากที่จักรพรรดินโปเลียนสิ้นอำนาจแล้ว "เลออโคออน" ก็ถูกนำกลับไปยังวาติกันโดยฝ่ายอังกฤษในปี ค.ศ. 1816