เมนูนำทาง
เศรษฐศาสตร์อุตสาหกรรม หัวข้อศึกษาหลักโครงสร้างของตลาด มีความหมายอย่างกว้างๆ หมายถึงลักษณะพื้นฐานของอุตสาหกรรมนั้นๆ ที่ค่อนข้างคงที่ และส่งผลต่อพฤติกรรมของผู้ขายและผู้ซื้อในตลาด ลักษณะของอุตสาหกรรมอาจมีที่มาทั้งจากธรรมชาติของสินค้านั้นเอง เช่น เทคโนโลยีการผลิต หรือเป็นลักษณะที่เป็นผลสืบเนื่องมาจากปัจจัยอื่น (รวมถึงธรรมชาติของสินค้านั้นๆ) เช่น จำนวนผู้ขายในตลาด ปัจจัยที่กีดกันการเข้าร่วมตลาดของผู้ผลิตรายใหม่[1] หนึ่งในหัวข้อสำคัญของเศรษฐศาสตร์อุตสาหกรรม คือการพยายามอธิบายว่ามีปัจจัยใดในโครงสร้างของตลาด ที่ส่งผลต่อพฤติกรรมในตลาดและประสิทธิภาพของตลาด และโครงสร้างเหล่านั้นถูกกำหนดอย่างไร
การศึกษาในสาขาเศรษฐศาสตร์อุตสาหกรรม มักให้ความสำคัญกับอำนาจเหนือตลาด หรืออำนาจผูกขาด (market power หรือ monopoly power) ซึ่งหมายถึงความสามารถของผู้ขายหรือผู้ซื้อ ในการกำหนดราคาหรือเงื่อนไขในการค้าได้ ซึ่งเป็นสิ่งที่แตกต่างจากแนวคิดการแข่งขันสมบูรณ์ที่ผู้ผลิตและผู้บริโภคแต่ละรายย่อยๆ ไม่มีอำนาจในการกำหนดราคา
หัวข้อการศึกษาที่สำคัญข้อหนึ่งในสาขานี้คือ ผู้ขายที่มีอำนาจเหนือตลาด จะใช้วิธีการตั้งราคาแบบใดเพื่อให้ตัวเองได้ประโยชน์ เช่น การตั้งราคาขายให้ผู้ซื้อแต่ละรายไม่เท่ากัน การตั้งราคาขายแบบไม่เป็นเส้นตรง นอกจากนี้ นักเศรษฐศาสตร์อุตสาหกรรม ยังสนใจศึกษาพฤติกรรมการรวมกลุ่มของผู้ขายเพื่อฮั้วราคา ไปจนถึงพฤติกรรมที่ไม่เกี่ยวข้องกับราคา เช่น ผู้ขายต้องการสร้างความแตกต่างของสินค้าอย่างไร การโฆษณามีผลกีดกันไม่ให้ผู้ขายรายใหม่เข้ามาในตลาดหรือไม่ การลงทุนเพื่อวิจัยและพัฒนา เป็นต้น[9]
ทฤษฎีองค์กรธุรกิจ (theory of the firm) เป็นความพยายามตอบคำถามว่า ทำไมจึงต้องมีการตั้งองค์กรธุรกิจ (เช่น บริษัท) และเส้นแบ่งระหว่างการเป็นองค์กรธุรกิจกับตลาดคืออะไร คำถามนี้มีที่มาจากข้อสังเกตว่า ธรรมชาติขององค์กรธุรกิจ ก็คือการทำธุรกรรมระหว่างส่วนย่อยๆ ในองค์กรธุรกิจนั้น เหตุใดธุรกรรมบางประเภทจึงเกิดขึ้นในตลาดภายนอกองค์กร (เช่น การซื้อวัตถุดิบจากธุรกิจอื่น) และบางประเภทจึงเกิดขึ้นภายในองค์กร[1]
เมนูนำทาง
เศรษฐศาสตร์อุตสาหกรรม หัวข้อศึกษาหลักใกล้เคียง
เศรษฐา ทวีสิน เศรษฐศาสตร์ เศรษฐา ศิระฉายา เศรษฐกิจไทย เศรษฐศาสตร์มหภาค เศรษฐพงศ์ เพียงพอ เศรษฐกิจญี่ปุ่น เศรษฐกิจพอเพียง เศรษฐกิจจีนยุคราชวงศ์ฮั่น เศรษฐยาธิปไตยแหล่งที่มา
WikiPedia: เศรษฐศาสตร์อุตสาหกรรม //doi.org/10.1016%2FS1573-448X(89)01009-5 //doi.org/10.1057%2F978-1-349-95121-5_924-1 //doi.org/10.1257%2Fjep.24.2.145 //doi.org/10.2307%2F2098578 //doi.org/10.2307%2F2233907 http://www.nber.org/chapters/c7615 https://www.jstor.org/stable/1815790