ประวัติ ของ เหมียว_เฉียวเหว่ย

ชีวิตช่วงแรก (พ.ศ. 2501-2521)

เหมียวฉียวเหว่ย เกิดเมื่อวันที่ 18 มิถุนายน พ.ศ. 2501 เขามีชื่อเล่นว่า อาเหมียว (A Miao) และชื่อภาษาอังกฤษว่า ไมเคิล เหมียว (Michael Miu) เขาเกิดในครอบครัวฐานะดี ที่ท่าเรือโจวซาน(舟山港)ซึ่งเป็นท่าเรือที่ตั้งอยู่ในเมืองหนิงโป มณฑลเจ้อเจียง ประเทศจีน และเป็นลูกคนสุดท้องในครอบครัว พ่อของเขาทำงานเป็น นักเดินเรือ ของ บริษัท ขนส่งทางทะเลของฮ่องกง ซึ่งต้องเดินทางในทะลนานหลายเดือนไปมาระหว่างจีนและฮ่องกง ต่อมาเมื่อเขาอายุได้ห้าขวบแม่ได้พาเขาย้ายไปอยู่ฮ่องกง โดยอาศัยอยู่กับปู่และย่า ด้วยอาชีพนักเดินเรือที่เป็นอยู่ทำให้พ่อของเขาไม่มีโอกาสดูแลและอยู่กับเขานาน ๆ ได้เลย จึงทำให้เขาเติบโตมากับคุณแม่เป็นหลัก

แต่แล้วทุกอย่างก็พลิกผันเมื่อพ่อของเขาป่วยเป็นมะเร็งและสูญเสียความสามารถจนต้องออกจากงานประจำที่ทำอยู่เป็นผลให้นับตั้งแต่นั้นทางครอบครัวเริ่มประสบปัญหาทางการเงินขึ้นมาเพราะหมดเงินไปกับการรักษาคุณพ่อเป็นจำนวนมาก ต่อมา เหมียวเฉาเหว่ยในวัย 17 ปีได้ตัดสินใจลาออกกลางคันจากโรงเรียนมัธยมศึกษา เซียงต้าว (香島中學) ในระดับชั้นม.5 (มศ. 4) และได้ออกไปหางานทำเพื่อช่วยเหลือครอบครัวของเขาพร้อมทั้งส่งตัวเองเรียนต่อ โดยไปสมัครงานที่ร้านเฟอร์นิเจอร์โบราณแห่งหนึ่งใกล้บ้าน หลังจากฝึกหัดแบบงานไม้เฟอร์นิเจอร์ จนชำนาญก็ได้ทำงานที่นั้นเป็นระยะเวลาสามปี[1][2][3]

เข้าสู่วงการบันเทิงและผลงานในช่วงแรก (พ.ศ. 2522-2525)

ต่อมาในราวปลายปีพ.ศ. 2522 ในขณะที่เหมียวเฉียวเหว่ยยังคงทำงานเป็นลูกจ้างที่ร้านเฟอร์นิเจอร์โบราณอยู่นั้น แต่แล้วเขาก็เกิดมีปัญหาขัดแย้งกับหัวหน้างานในที่ทำงานขึ้นมาเลยขอลาพักงานเป็นเวลาหนึ่งสัปดาห์ซึ่งเป็นช่วงที่ประจวบเหมาะพอดีกับที่ทางสถานีโทรทัศน์ทีวีบี กำลังเปิดรับสมัครนักเรียนการแสดงใหม่ในรุ่นที่ 9 เพราะความอยากรู้อยากลองเขาจึงกรอกแบบฟอร์มการลงทะเบียนและยื่นใบสมัครดู เมื่อผลออกมาว่าเขาได้ผ่านการคัดเลือกให้เข้าอบรมเป็นนักเรียนการแสดงกับทางช่องทีวีบี จึงได้ตัดสินใจลาออกจากงานร้านเฟอร์นิเจอร์ทันที และต้องใช้เวลาเรียนการแสดงประมาณ 1 ปี โดยในรุ่นที่ 9 มีเพื่อนนักเรียนการแสดงร่วมรุ่นที่ต่อมากลายเป็นดาราดัง ได้แก่ หวงเย่อหัว ในห้องเรียนเขากับหวงเย่อหัว ทั้งสองสนิทกันมากและกลายมาเป็นเพื่อนซี้จนถึงปัจจุบัน ในช่วงที่เขากำลังเรียนการแสดงอยู่นั้นทางช่องก็ลองให้เขาประเดิมรับบทตัวประกอบในละครกึ่งสากลสุดฮิตเรื่อง เจ้าพ่อเซี่ยงไฮ้ ภาค1-3 โดยในเรื่องนี้เขาได้รับบทตัวประกอบเป็นนักศึกษากับหวงเย่อหัวนับได้ว่าเป็นละครเรื่องแรกในชีวิตการแสดงของเขาและยังแสดงเป็นตัวประกอบในละครดัง ๆ ตามมา เช่น ละครดราม่าเรื่อง ฝันสลาย (Yesterday's Glitter 1980) เป็นต้น ซึ่งในปีเดียวกันเขาก็ได้ขยับจากตัวประกอบขึ้นมาเป็นนักแสดงสมทบในละครเรื่อง รักพยาบาท (The Adventurer's 1980) ซึ่งบทบาทการแสดงเป็นตัวละครสมทบในเรื่องนี้ทำให้เขาได้รับคำชื่นชมและถูกจับตามองเป็นอย่างมาก ต่อมาในปีพ.ศ. 2524 (1980) หลังจากเรียนจบทางด้านการแสดงกับทางช่อง เขาก็ได้ถูกคัดเลือกจากฝ่ายผลิตละครโทรทัศน์ของค่ายทีวีบี ให้รับบทนำเป็นครั้งแรกกับบทบาทตัวร้าย "โอวหยังกัง" โดยร่วมแสดงนำกับดาราร่วมรุ่นเพื่อนสนิท อย่าง "หวงเย่อหัว" ที่ได้แสดงเป็นพระเอกในบท "หลี่ถัง" ในละครกึ่งสากลยอดนิยมเรื่อง เหยี่ยวถลาลม โดยมีดาราสาวรุ่นพี่ชื่อดังในขณะนั้นอย่าง เจิ้งอวี้หลิงเป็นนางเอก ซึ่งถือได้ว่าเขาใช้เวลาในการไต่เต้าจากตัวประกอบมารับบทนำในระยะเวลาอันรวดเร็ว หลังจากละครเรื่องนี้ได้ออนแอร์ออกอากาศ ทั้งเหมียวเฉียวเหว่ยและหวงเย่อหัว ต่างก็แจ้งเกิดในทันที และละครเรื่อง เหยี่ยวถลาลม ก็ได้รับความนิยมทั้งในฮ่องกงและประเทศเพื่อนบ้านในแถบเอเชียเป็นอย่างมาก ส่วนผลงานละครเด่นเรื่องอื่น ๆ ที่เขาได้ร่วมแสดงในปีเดียวกัน ได้แก่ "เพชรตัดเพชร" (火鳳凰 1981), จอมทรนง (The Fate 1981), มรสุ่มสายรุ่ง (風雨晴 1981), นางพญาปาฎิหาริย์ (无双谱 1981), "ประกาศิตเหยี่ยวพญายม" (飛鷹 1981) และ "วีรบุรุษเส้าหลิน" (The Young Heroes of Shaolin 1981)

ในปีพ.ศ. 2525 หลังจากแจ้งเกิดในบทตัวร้ายจากละครเรื่อง "เหยี่ยวถลาลม" แล้ว ตั้งแต่นั้นทางสถานีโทรทัศน์ทีวีบี ก็ได้ผลักดันส่งเสริมเขาเป็นอย่างมากเคียงข้าง หวงเย่อหัว เพื่อนดาราร่วมรุ่นอีกคน โดยให้เขารับบทนำและบางเรื่องก็ได้เป็นพระเอกเต็มตัว เช่นละครซิทคอมเรื่อง ฮ่องกง82 (Hong Kong 82), รักลอยฟ้า (Ladies of the House), ไอ้หนุ่มตะลุย 10 ทิศ (A Kid Troupe), ยาจกซูไอ้หนุ่มหมัดเมา (The Legend of Master So Ma) และเรื่อง "เขย่าเหลี่ยมเซียน" (You only live twice 1982) ซึ่งเรื่องหลังนี้เขาได้เล่นเป็นพระเอกเต็มตัวประกบกับดาราสาวดาวรุ่งดวงใหม่ อย่าง ชีเหม่ยเจิน และทำให้เขาได้พบรักกลางกองถ่ายกับเธอซึ่งเป็นนางเอกของเรื่องนี้อีกด้วย จนทั้งคู่ได้เป็นแฟนกันในเวลาต่อมา และในช่วงเวลานี้เองที่ทางฝ่ายการผลิตของสถานีโทรทัศน์ทีวีบี ได้คัดเลือกเขาให้รับบทนำเป็นเอี้ยคัง คู่กับหยาง พ่านพ่าน ในบท มกเนี่ยมชื้อ โดยได้หวงเย่อหัว มารับบทก๊วยเจ๋ง คู่กับดาราสาวดาวรุ่งมาแรง องเหม่ยหลิง ที่ผ่านการคัดเลือกให้เข้ามารับบทนำเป็น อึ้งย้ง กับผลงานละครกำลังภายในฟอร์มใหญ่ที่กำลังจะสร้างเรื่อง มังกรหยก เมื่อมีการประกาศรายชื่อนักแสดงที่จะเข้ามาสวมบทบาทต่าง ๆ ให้ผู้คนได้รับทราบ ซึ่งสร้างความฮือฮาในตอนนั้น เป็นอย่างมาก

เข้าสู่ยุคทองเป็นคู่ขวัญองเหม่ยหลิงและมีปัญหากับทางค่ายทีวีบี (พ.ศ. 2526-2528)

ตั้งแต่ปีพ.ศ. 2526 ถือเป็นการเริ่มเข้าสู่ยุครุ่งเรืองของเขาเลยก็ว่าได้ เมื่อผลงานละครกำลังภายในฟอร์มใหญ่เรื่อง มังกรหยก ภาค1 ได้ออนแอร์ลงสู่หน้าจอทีวี โดยมีเรตติ้งคนดูสูงสุดตลอดกาลอยู่ที่ 99% [4][5]ทำให้นักแสดงนำทั้ง 4 คนคือ หวงเย่อหัว, องเหม่ยหลิง หยางพ่านพ่าน และเขา ดังเปรี้ยงปร้างสุดกู่ทันที ซึ่ง เหมียวเฉียวเหว่ย เองก็ได้รับคำชื่นชมจากสื่อต่าง ๆ ว่า เขาสามารถสวมบทบาท "เอี้ยคัง" ออกมาได้เหมือน เอี้ยคังตามบทประพันธ์ ไม่ว่าจะเป็นบุคลิกลักษณะของเอี้ยคังในด้านความร้ายกาจและความสับสนในตัวเอง ซึ่งเขาถ่ายทอดอารมณ์ทั้งหมดออกมาได้ดีมาก และจากความโด่งดังในบทนี้ทำให้เขาก้าวขึ้นมาเป็นนักแสดงจอแก้วยอดนิยมแถวหน้าคนหนึ่งของทางค่ายทีวีบี พอใกล้สิ้นปีทาง สถานีโทรทัศน์ทีวีบี ก็ได้ก่อตั้งกลุ่ม 5 พยัคฆ์ทีวีบี ขึ้นมาโดยมี 5 นักแสดงชายดาวรุ่งพุ่งแรง ของทางค่ายทีวีบี 5 คนมารวมตัวกัน ซึ่งประกอบไปด้วย เหมียวเฉียวเหว่ย, หลิวเต๋อหัว, ทัง เจิ้นเยี่ย, เหลียงเฉาเหว่ย และหวงเย่อหัว ส่วนผลงานละครเด่นเรื่องอื่น ๆ ในปีเดียวกัน ได้แก่ ละครแนวสากลเรื่อง "เทพบุตรเสียงทอง" (The Radio Tycoon) ที่มีโจวเหวินฟะ และจ้าวหย่าจือ แสดงนำ ตามด้วยผลงานละครแนวตำนานรักอภินิหารที่มีเขาเป็นพระเอก เรื่อง พยากรณ์ประกาศิต ภาค1 (The Fortune Teller) และ พยากรณ์ประกาศิต ภาค 2 (The Fortune Teller II) โดยละครเรื่องนี้มีนางเอก 2 คนคือ หวง เจ้าสือ และ จวง จิ้งเอ๋อ

ในปีพ.ศ. 2527 หลังจากที่เขามีชื่อเสียงโด่งดังเป็นพลุแตกกับบทบาทเอี้ยคังแล้ว พอดีกับที่ทางพระเอกชื่อดัง หวงเย่อหัว เกิดมีปัญหากับทางช่องขึ้นมาเรื่องการต่อสัญญาระยะยาว ทำให้ทางสถานีโทรทัศน์ทีวีบี แช่แข็งงานละครของหวงเย่อหัวและหันมาป้อนงานละครให้เหมียวเฉียวเหว่ยแสดงเป็นพระเอกติดต่อกันถึง 7 เรื่องภายในปีเดียวกัน เช่น "ฤทธิ์ดาบหยดน้ำตา" (Hero Without Tears) คู่กับหลิวเจียหลิง, "ชะตา ชีวิต" (Summer Kisses, Winter Tears) คู่กับเหมยเยี่ยนฟาง และ 5 พยัคฆ์ร้ายมายา (The Rise And Fall of a Stand-in) คู่กับ หยังพ่านพ่านโดยเฉพาะละครที่เขาได้เล่นประกบคู่ กับ องเหม่ยหลิง ต่างได้รับความนิยมเป็นอย่างสูงจนทั้งคู่กลายเป็นคู่ขวัญในตอนนั้นที่บรรดาผู้ชมต่างเชียร์ให้เป็นแฟนกันทั้งในจอและนอกจอ ซึ่งละครเหล่านั้นได้แก่เรื่อง ยุทธจักรชิงจ้าวบัลลังค์ (The Foundation), เทพอาจารย์จอมอิทธิฤทธิ์ (The Fearless Duo), เฉือนคมเจ้าพ่อ (United We Stand)และ ชอลิ้วเฮียง ตอน ถล่มวังค้างคาว (The New Adventures of Chor Lau-heung Chor Lau-heung) โดยเฉพาะ ละครเรื่อง "ชอลิ้วเฮียง ตอน ถล่มวังค้างคาว" นั้นประสบความสำเร็จและได้รับความนิยมอย่างสูงทั่วเอเชีย บวกกับแรงเชียร์จากบรรดาแฟนคลับของคนทั้งคู่ที่อยากให้ทั้งสองเป็นแฟนกันจริง ๆ จนเป็นที่มาของข่าวฉาวรักสามเส้าของทั้งสองฝ่าย จนต่อมามีข่าวลือซุบซิบออกมาว่าดาราสาว ชีเหม่ยเจิน ซึ่งเป็นแฟนสาวตัวจริงของ เหมียวเฉียวเหว่ย และเป็นเพื่อนสนิทของ องเหม่ยหลิง เกิดการไม่พอใจขึ้นมาและไม่ต้องการให้ เหมียวเฉียวเหว่ย เล่นประกบคู่ กับ องเหม่ยหลิง อีก หลังจากนั้นทั้งสองก็ไม่ได้เล่นประกบคู่กันอีกเลย ข่าวลือเกี่ยวกับเรื่องนี้ได้สร้างความอึดอัดใจให้กับทั้ง เหมียวเฉียวเหว่ย และ องเหม่ยหลิง เป็นอย่างมากเพราะต่างฝ่ายต่างก็มีคนรักที่คบหาดูใจกันอยู่แล้ว อีกทั้งคนรักของทั้งคู่ต่างก็เป็นเพื่อนสนิทของอีกฝ่าย จนในที่สุดตัวของ เหมียว เฉียวเหว่ย เองได้ตัดสินใจที่จะยุติข่าวลือเกี่ยวกับเรื่องนี้ โดยออกมาให้สัมภาษณ์กับสื่อว่า ตัวเขารัก ชีเหม่ยเจิน เพียงคนเดียว ส่วน องเหม่ยหลิง นั้นเขาเห็นเธอเหมือนน้องสาวที่แสนดีเท่านั้นเพราะเขาเองไม่เคยคิดอะไรเกินเลยกับเธอเลยและรู้ว่าเธอคบกับทังเจิ้นเยี่ยอยู่ จากข่าวลือเรื่องนี้ทำให้ในระยะหลัง เหมียวเฉียวเหว่ย และ องเหม่ยหลิง เองต่างก็ติดต่อกันน้อยลง จนความสัมพันธ์ฉันท์เพื่อนสนิทก็เริ่มห่างเหินกันไปเพราะกลัวทั้งแฟนสาว(ชีเหม่ยเจิน)และแฟนหนุ่มขององเหม่ยหลิง (ทังเจิ้นเยี่ย)จะเข้าใจผิด

ในปีพ.ศ. 2528 ในปีนี้เขายังคงมีละครเด่น ๆ อยู่เช่น เพ็กฮ่วยเกี่ยม แค้นกระบี่โค่นบัลลังค์ (Sword Stained with Royal Blood Ha Suet-ye), คอนโดมิเนียม (The Condo) และผลงานละครที่รวม 5 พยัคฆ์ทีวีบีมาเล่นร่วมกันเนื่องในโอกาสพิเศษครบรอบ 18 ปีของสถานีโทรทัศน์ทีวีบี คือเรื่องขุนศึกตระกูลหยาง (The Yang's Saga) ด้วยความนิยมอย่างต่อเนื่อง ทำให้ทางสถานีโทรทัศน์ทีวีบีต้องการให้เขาเซ็นสัญญาระยะยาว 5 ปีกับทางช่อง แต่ทว่าเขากลับไม่เห็นด้วยและเซ็นสัญญาระยะสั้นลงไปแทนเป็นปีต่อปี เพราะเขาอยากหันไปรับงานทางด้านภาพยนตร์อย่างเต็มที่ ทำให้ทางช่องไม่พอใจเป็นอย่างมากและแช่แข็งเขาพร้อมกับลดงานละครของเขาลง ซึ่งเหตุการณ์ดังกล่าวเคยเกิดขึ้นกับหวงเย่อหัวมาก่อนหน้านั้นแล้ว

ความนิยมลดลง,หันไปทำธุรกิจ,ลาวงการและแต่งงาน (พ.ศ. 2529-2544)

ตั้งแต่ปีพ.ศ. 2529-2531 เหมียวเฉียวเหว่ยมีงานละครน้อยลงมาก ได้แก่ ตี้ชิง (The Legend of Dik Ching 1986), แฝดผิดฝา (Pet and Pest 1986), กระบี่มังกรหยก (The Dragon Sword 1987) และ เดชเซียวฮื้อยี้ฉบับ เหลียงเฉาเหว่ย นำแสดง (Two Most Honorable Knights 1988) เพราะเนื่องจากเขาเซ็นสัญญารับงานละครปีต่อปีและได้รับงานแสดงทางด้านภาพยนตร์ไปด้วย ทำให้ความนิยมในตัวเขาค่อย ๆ ลดลงไปเพราะผลงานภาพยนตร์เหล่านั้น ก็ไม่ได้ประสบความสำเร็จเท่าที่ควร

และในช่วงปีพ.ศ. 2530 เหมียวเฉียวเหว่ย ได้เปิดธุรกิจแว่นตา ที่ทำร่วมกับครอบครัวของแฟนสาว "ชี เหม่ยเจิน" โดยมียี่ห้อแว่นตาเป็นของตัวเองภายใต้ชื่อว่า เอ็มสามบีกิน (M3Begin) จนกระทั่งกลางปีพ.ศ. 2531 หลังหมดสัญญากับสถานีโทรทัศน์ทีวีบี เขาตัดสินใจหยุดรับงานแสดงทางด้านละครเพื่อหันไปทุ่มเทให้กับธุรกิจแว่นตาอย่างเต็มที่และนับตั้งแต่นั้นความนิยมในตัวเขาเริ่มค่อย ๆ ลดลง แต่อย่างไรก็ตามเขาก็ยังคงรับงานแสดงภาพยนตร์อยู่บ้างประปราย และในปลายปีพ.ศ. 2533 เขาตัดสินใจเข้าพิธีวิวาห์กับแฟนสาว ชีเหม่ยเจิน ที่ทั้งคู่คบหาดูใจกันมานานกว่า 8 ปี และในปีพ.ศ. 2539 เขาก็ประกาศหันหลังให้กับวงการภาพยนตร์ ซึ่งเขาเองก็ไม่ค่อยประสบความสำเร็จในวงการจอเงินเท่าใดนัก แต่อย่างไรก็ตามทางด้านธุรกิจแว่นตาของเขากลับประสบความสำเร็จรุ่งเรืองมากมายในเวลาต่อมาและมีการขยายสาขาน้อยใหญ่ทั้งในฮ่องกงและต่างประเทศ เช่น แคนาดาและจีนแผ่นดินใหญ่

ขายธุรกิจและกลับเข้าวงการอีกครั้ง (พ.ศ. 2545-ปัจจุบัน)

ในขณะที่ธุรกิจแว่นตารุ่งเรืองและกำลังไปได้สวยแต่แล้วในปีพ.ศ. 2545 ครอบครัวของเขาได้ตัดสินใจขายธุรกิจแว่นตาให้กับชาวออสเตรเลียและได้กำไรเป็นกอบเป็นกำจนทำให้ครอบครัวของเขาอยู่ในระดับเศรษฐีที่ร่ำรวยมาก แล้วตัวเขาก็กลับเข้าสู่วงการบันเทิงอีกครั้งโดยกลับไปเซ็นสัญญาเป็นนักแสดงให้กับทางสถานีโทรทัศน์ทีวีบีในราวกลางปีพ.ศ. 2547 และเริ่มมีผลงานละครในปีถัดมา ซึ่งช่วงที่เขากลับเข้ามารับงานแสดงนั้นเป็นช่วงที่ละครชุดฮ่องกงอยู่ในยุคตกต่ำในตลาดเอเชียแล้ว แต่อย่างไรก็ตาม...สำหรับในประเทศฮ่องกงเองแล้วความนิยมในละครของบ้านเกิดตัวเองก็ยังคงเหมือนเดิม และเขาก็ยังคงมีผลงานละครหลายเรื่องที่ได้รับความนิยมเฉพาะในประเทศฮ่องกง จนมีชื่อเข้าชิงนักแสดงชายจอแก้วยอดเยี่ยมแห่งปีถึง 5 ครั้งด้วยกันจากละครเรื่อง ผู้พิทักษ์หัวใจทรนง ภาค1และภาค3 (The Academy), สงครามชีวิต ลิขิตชะตา (The Drive of Life), ปมลวงเปลี่ยนรัก (Love Exchange) และ คู่เดือด ตำรวจเหล็ก (Gun Metal Grey) ถึงแม้ว่าละครเหล่านี้จะประสบความสำเร็จอย่างมากในฮ่องกง แต่กลับไม่ได้รับความนิยมในระดับเอเชียเหมือนในอดีตอีกเลย

ต่อมาในราวกลางปีพ.ศ. 2556 เขาก็ได้หมดสัญญากับทางช่องทีวีบี และผันตัวเองไปเป็นนักแสดงอิสระโดยรับงานทั้งที่ฮ่องกงและที่จีนแผ่นดินใหญ่ ผลงานละครกับทางจีนที่เด่น ๆ คือ มังกรหยก ฉบับปีพ.ศ. 2560 ที่เขารับเล่นบท อึ้งเอี๊ยะซือ ซึ่งก็สร้างความเกรียวกราวพอสมควร และล่าสุดกับผลงานละครที่เล่นให้กับทางค่ายทีวีบีคือ ล่าจารชน (Line Walker) และ ล่าจารชน ภาค2 (Line Walker: The Prelude)

ส่วนปัจจุบันชีวิตทางด้านครอบครัวของเขาก็มีความสุขและอบอุ่น ทั้งเหมียวเฉียวเหว่ยและภรรยาถือได้ว่าเป็นคู่รักดาราที่น่าอิจฉาคู่หนึ่งในวงการบันเทิงฮ่องกง และเขาเองก็ยังเป็นพ่อของลูก 2 คนซึ่งเป็นชายและหญิง อีกด้วย