เหย่เหริน หรือ
ซูเหริน (
อังกฤษ: Yeren, Yiren, Yeh Ren;
จีน: 野人;
พินอิน: Yěrén แปลว่า "คนป่า"; อังกฤษ: Xueren;
จีน: 神农架野人;
พินอิน: Shénnóngjiàyěrén แปลว่า "คนป่าแห่ง
เสินหนงเจี้ย") หรือ
มนุษย์หมี (อังกฤษ: Man Bear;
จีน: 人熊;
พินอิน: Ren Xiong) เป็น
สิ่งมีชีวิตลึกลับขนาดใหญ่ชนิดหนึ่งที่เชื่อว่า มีลักษณะคล้าย
มนุษย์แต่มี
ขนดกปกคลุมอยู่ทั่วร่าง อาศัยอยู่ ณ เขตอนุรักษ์ป่าดึกดำบรรพ์เขาเสินหนงเจี้ย ใน
มณฑลหูเป่ย์ ประเทศจีนโดยเหย่เหริน มีลักษณะคล้าย
อุรังอุตังที่พบบน
เกาะบอร์เนียวและ
เกาะสุมาตรา ใน
อินโดนีเซีย มีขนสีน้ำตาลแดงเข้มยาว 3–4 เซนติเมตร มีท้องขนาดใหญ่ ยืนด้วยขาหลังทั้งสองข้าง มีความสูง 5–7 ฟุต หรือ 8 ฟุต
[1] แต่มีรายงานว่าสามารถเคลื่อนไหวได้รวดเร็ว ใบหน้ามีลักษณะผสมกับระหว่างมนุษย์และ
เอป มีส่วนของขาหน้าหรือมือมี
นิ้ว 5 นิ้ว โดยที่
นิ้วโป้งแยกออกมาเหมือนมนุษย์ เคยมีการพบรอยเท้าของเหย่เหรินมีความยาว 16
นิ้ว มีโครงสร้างที่ใกล้เคียงกับเอป ในตัวผู้มี
องคชาตเหมือน
ผู้ชาย ในขณะที่ตัวเมียมี
เต้านมเหมือน
ผู้หญิง ส่งเสียงร้องได้ดังและมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวเชื่อกันว่า เหย่เหริน มีความเกี่ยวข้องกับมนุษย์
นีแอนเดอร์ธาลที่เคยอาศัยอยู่ใน
เอเชียเหนือ และ
เอเชียกลาง เมื่อ 350,000 กว่าปีก่อนซึ่งเมื่อเทียบกับสัตว์ชนิดอื่นที่คล้ายคลึงกัน เช่น
บิ๊กฟุตใน
อเมริกาเหนือ ในคติของ
จีนมี
ศัพท์ที่ใช้เรียกสัตว์ที่มีลักษณะเช่นนี้โดยเฉพาะ โดยมีผู้เชื่อว่าอาจจะมีจำนวนเหย่เหรินมากถึง 1,000–2,000 ตัวอาศัยอยู่ในประเทศจีนตอนกลาง
นักวิทยาศาสตร์ชาวจีนที่ได้ศึกษาเกี่ยวกับการมีอยู่ของเหย่เหริน โดยการกล่าวอ้างถึงจากนักท่องเที่ยวที่ได้มาเที่ยวยังเขตอนุรักษ์ป่าดึกดำบรรพ์เขาเสินหนงเจี้ย โดยค้นพบรอยเท้าและทำการหล่อเป็น
ปูนปลาสเตอร์เพื่อศึกษา ซึ่งนักวิทยาศาสตร์ส่วนใหญ่มี
ทฤษฎีว่า เหย่เหรินอาจจะเป็นเอปขนาดใหญ่
ยุคก่อนประวัติศาสตร์ชนิดที่มี
ชื่อวิทยาศาสตร์ว่า
Gigantopithecus blacki ที่เคยอาศัยอยู่ในเอเชียกลาง แต่ได้
สูญพันธุ์ไปแล้วกว่า 500,000 ปี มีนักวิชาการที่ได้รับทุนจากรัฐบาลให้ศึกษาเกี่ยวกับเรื่องของเหย่เหริน สามารถเก็บตัวอย่างขนที่เชื่อว่าเป็นของเหย่เหรินได้เมื่อนำไปเทียบกับขนของลิงหรือเอปที่เป็นที่รู้จัก ปรากฏว่าไม่ตรงกับชนิดใดเลย
[1]ในตำนานพื้นบ้านแถบนี้ เหย่เหรินถูกเล่าขานว่าเป็น
สัตว์กินเนื้อ และจับมนุษย์ฉีกแขนขากินเป็น
อาหารด้วย ปัจจุบันแม้จะมีการสำรวจศึกษาเกี่ยวกับเหย่เหรินมากขึ้น แต่เรื่องของเหย่เหรินก็ยังคงอยู่ในความเชื่อของชาวจีนพื้นถิ่น ซึ่งป่าที่เหย่เหรินอาศัยอยู่นั้นก็ถือได้ว่าเป็น
ป่าดึกดำบรรพ์ที่เป็นพื้นที่อนุรักษ์ มีพรรณพืชและพรรณสัตว์โบราณและหายากหลายชนิดอาศัยอยู่ด้วย โดยบางคนที่อ้างว่าเคยพบเห็นเหย่เหริน เป็นเจ้าหน้าที่ของเขตอนุรักษ์ อ้างว่าตนเคยคิดที่จะจับเหย่เหรินด้วยซ้ำ โดยเชื่อว่าเหย่เหรินอาศัยอยู่ในป่าหินซึ่งเป็นจุดสูงสุดของเขตป่าอนุรักษ์เสินหนงเจี้ย รวมถึงมีมัคคุเทศก์ท้องถิ่นขณะนำพานักท่องเที่ยวบนรถทัวร์ ได้เห็นเหย่เหรินตัวหนึ่งที่มีขนสีดำวิ่งตัดหน้ารถด้วยสองขาหลัง คนขับรถได้ตะโกนบอกว่า "เหย่เหริน ๆ"
[1]ซึ่งข้อมูลที่ได้จากการศึกษาเพิ่มเติม พบว่า เหย่เหรินไม่อยู่เป็นกลุ่ม แต่จะอยู่กันเป็นคู่ ๆ ระหว่างตัวผู้และตัวเมีย โดยปกติจะเดินด้วยสองขาหลัง แต่สามารถใช้ขาทั้งสี่ข้างปีนป่ายได้รวดเร็ว โดยกิน
อาหารจำพวก
ผลไม้,
ถั่ว,
ข้าวโพด และ
แมลงบางชนิด ในสถานที่ ๆ ไม่มีใครมาพบเห็น
[2]