ประวัติ ของ เอทีซ

2561: ก่อนเดบิวต์ และ อัลบั้ม Treasure EP.1: All to Zero

ก่อนเดบิวต์สมาชิกทั้ง 8 คนเป็นที่รู้จักในนาม KQ Fellaz[6] ผ่านรายการ KQ Fellaz American Training ออกอากาศทางยูทูป เป็นรายการที่นำเสนอการฝึกก่อนเดบิวต์ของสมาชิกทั้งหมดที่ ลอสแองเจิลลิส, แคลิฟอร์เนีย ประเทศสหรัฐอเมริกา ทั้งนี้ระหว่างการออกอากาศได้มีการเปิดตัวเด็กฝึกคนที่ 9 ชื่อ ลีจุนยอง[7]

เนื้อหาของรายการเป็นการนำเสนอ การเขียนเพลง ออกแบบท่าเต้นร่วมกันของเด็กฝึก การแต่งเพลงของ คิมฮงจุง หัวหน้าวง และเรียนรู่การออกแบบท่าเต้นและการเคลื่อนไหวร่างกาย[8] ร่วมกับ Millennium Dance Complex.[9] และจองยุนโฮ ได้เข้าร่วมแสดงเต้นในวีดีโอของทาง Millennium Dance Complex อีกด้วย[10]

KQ Fellaz ได้ปล่อยการแสดงวิดีโอแรกออกมาในวันที่ 18 พฤษภาคม พ.ศ. 2561 พร้อมกันนี้ ทาง KQ Entertainment KQ Entertainment ก็ได้ประกาศว่า ลีจุนยองจะไม่ได้เข้าร่วมในการเดบิวต์ร่วมกับเด็กฝึกทั้ง 8 คน ตอนสุดท้ายของรายการได้มีการปล่อยเพลง "From" เมื่อวันที่ 3 กรกฎาคม พ.ศ. 2561 ที่เด็กฝึกทุกคนร่วมกันเขียนเนื้อเพลงและออกแบบท่าเต้นร่วมกัน โดยมีคิมฮงจุง หัวหน้าวง เป็นผู้แต่งเพลง[11]

หลังจากนั้น KQ Entertainment ได้เผยแพร่ตัวอย่างของรายการเรียลลิตี้ใหม่ของ KQ Fellaz เป็นจำนวน 3 คลิปในช่องทาง Youtube ตัวอย่างแรกถูกเผยแพร่ในวันที่ 26 มิถุนายน พ.ศ. 2561 โดยในตัวอย่างที่สองที่ถูกเผยแพร่ในวันที่ 3 กรกฎาคม พ.ศ. 2561 ได้มีการประกาศชื่อวงอย่างเป็นการในชื่อ "Ateez" และชื่อรายการอย่างเป็นทางการว่า "Code Name is Ateez" และคลิปเพลงเปิดรายการถูกนำเสนอในตัวอย่างที่สามที่เผยแพร่ในวันที่ 13 กรกฎาคม พ.ศ. 2561 จากนั้นรายการออกอากาศครั้งแรกในวันที่ 20 กรกฎาคม พ.ศ. 2561 ทางช่อง Mnet[12]

ในวันที่ 2 ตุลาคม พ.ศ. 2561 มีการเผยแพร่ภาพวันและสถานที่เดบิวต์ทางโซเชียลมีเดียส์ เป็นวันที่ 24 ตุลาคม พ.ศ. 2561 ที่ Yes24 Livehall[13] และได้มีการเผยแพร่ภาพตัวอย่างตลอดทุกวันก่อนถึงวันเดบิวต์ตั้งแต่วันที่ 8 ถึง 23 ตุลาคม พ.ศ. 2561[14][15]

ในวันที่ 24 ตุลาคม พ.ศ. 2561 ได้ปล่อยอัลบั้มแรกซึ่งเป็นมินิอัลบั้มที่ชื่อว่า Treasure EP.1: All to Zero.[16] ซึ่งมีเพลงโปรโมตจำนวน 2 เพลง ได้แก่ "Pirate King" และ "Treasure" โดยอัลบั้มดังกล่าวมียอดขายเป็นอันดับ #7 บนแพลตฟอร์ม Gaon Albums Chart.[17]

เอทีซทำการแสดงสดครั้งแรกในวันที่ 24 ตุลาคม พ.ศ. 2561[18] และแสดงในรายการเพลงของเกาหลีครั้งแรกทางช่อง Mnet ผ่านรายการ M Countdown ในวันที่ 25 ตุลาคม พ.ศ. 2561[19]

2562: Treasure EP.2, Treasure EP.3, Treasure EP.Fin, The Expedition Tour และการเดบิวต์ที่ประเทศญี่ปุ่น

ในวันที่ 2 มกราคม พ.ศ. 2562 เอทีซได้เผยแพร่ภาพปริศนาพร้อมคำอธิบายที่เป็นรหัสมอร์สทางโซเชียลมีเดียส์ หลังจากนั้นจึงมีการยืนยันถึงการกลับมาอีกครั้งในมินิอัลบั้มที่ 2 ที่ชื่อว่า Treasure EP.2: Zero to One พร้อมตัวอย่างแรกในวันที่ 3 มกราคม พ.ศ. 2562[20] ซึ่งในมินิอัลบั้มนี้มีเพลงโปรโมตจำนวน 2 เพลง โดยเพลงโปรโมตหลัก คือเพลง "Say My Name" ซึ่งได้ปล่อยมิวสิควิดีโอและมินิอัลบั้มในวันที่ 15 มกราคม พ.ศ. 2562[21][22] และเพลงโปรโมตรอง คือเพลง "Hala Hala (Hearts Awakened, Live Alive)" โดยมีเพียงเพอร์ฟอร์แมนซ์วิดีโอที่ถูกปล่อยออกมาในวันที่ 7 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2562 เท่านั้น[23]

การกลับมาของเอทีซในครั้งนี้ ได้มาพร้อมกับเวิร์ดทัวร์ครั้งแรกที่มีชื่อว่า "The Expedition Tour" โดยออกรายละเอียดครั้งแรกในวันที่ 24 มกราคม พ.ศ. 2562 พร้อมเปิดจำหน่ายบัตรสำหรับการทัวร์ในเมืองบรุกลิน ชิคาโก แดลลัส แอตแลนตา และลอสแอนเจลิส ซึ่งบัตรเข้าชมสามารถขายหมดทุกที่นั่งทุกรอบ[24][25] จึงได้มีการประกาศเพิ่มการเวิลด์ทัวร์ในโซนยุโรปในวันที่ 20 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2562 ได้แก่เมืองลอนดอน ลิสบอน ปารีส เบอร์ลิน อัมสเตอร์ดัม มิลาน บูดาเปสต์ สต็อกโฮล์ม วอร์ซอ และมอสโก ซึ่งบัตรเข้าชมสามารถขายหมดทุกที่นั่งทุกรอบได้เช่นกัน[26][27][28] ในระหว่างการเวิลด์ทัวร์ เอทีซได้มีการถ่ายทำมิวสิควิดีโอเพลง "Promise" ซึ่งเป็นเพลงในมินิอัลบั้มที่ 2 และถูกปล่อยออกมาในวันที่ 9 พฤษภาคม พ.ศ. 2562[29] นอกจากนี้ เอทีซยังได้เข้าร่วมการแสดงสดในคอนเสิร์ต KCON 2019 Japan ที่เมืองชิบะ ประเทสญี่ปุ่นในวันที่ 17 พฤษภาคม พ.ศ. 2562 อีกด้วย[30] จากนั้นในวันที่ 5 มิถุนายน พ.ศ. 2562 ได้เพิ่มการแสดงสดในโซนออสเตรเลียอีก 2 เมือง ได้แก่ เมลเบิร์น และซิดนีย์

ในวันที่ 10 มิถุนายน พ.ศ. 2562 เอทีซกลับมาอีกครั้งด้วยมินิอัลบั้มที่ 3 ที่มีชื่อว่า Treasure EP.3: One to All[31] โดยมีเพลงโปรโมตจำนวน 2 เพลง ได้แก่ "Wave" และ "Illusion" ซึ่งถูกปล่อยออกมาพร้อมกันในวันดังกล่าว[32][33] โดยมีเพลง "Wave" เป็นเพลงโปรโมตหลักจากการโหวตของแฟนคลับ[34] และด้วยความสำเร็จของอัลบั้มนี้ จึงส่งผลให้เอทีซได้รับรางวัลจากรายการเพลงของเกาหลีเป็นครั้งแรกในรายการ M Countdown[35] และได้รับรางวัลอีกหนึ่งครั้งจากรายการ The Show[36] ในมินิอัลบั้มที่ 3 เอทีซยังได้ปล่อยมิวสิควิดิโอเพลง "Aurora" ออกมาในวันที่ 8 กรกฎาคม พ.ศ. 2562[37] จากความสำเร็จตั้งแต่เดบิวต์ส่งผลให้เอทีซได้รับรางวัลประจำปีครั้งแรกจากเวที Soribada Awards 2019 ในสาขา Best Performance Award ในวันที่ 20 สิงหาคม พ.ศ. 2562

ในวันที่ 18 กันยายน พ.ศ. 2562 เอทีซประกาศถึงการกลับมาอย่างเต็มรูปแบบกับอัลบั้มเต็มอัลบั้มแรกที่มีชื่อว่า Treasure EP.Fin: All to Action พร้อมด้วยตัวอย่างรูปภาพและวิดิโอสำหรับอัลบั้มนี้[38][39] โดยอัลบั้มถูกวางจำหน่ายในวันที่ 8 ตุลาคม พ.ศ. 2562 พร้อมเพลงโปรโมต "Wonderland"[40]

เอทีซเริ่มโปรโมตที่ประเทศญี่ปุ่นโดยทำการแสดงสดครั้งแรกที่ Jindai Festa ณ เมืองโยโกฮามา ในวันที่ 2 พฤศจิกายน พ.ศ. 2562[41] และปล่อยเพลงเดบิวต์ภาษาญี่ปุ่นเพลงแรกที่มีชื่อว่า "Utopia" ในวันที่ 10 พฤศจิกายน พ.ศ. 2562[42] และเข้าร่วมการแสดงสดในรายการเพลงประจำปี Mnet Asian Music Awards 2019 ที่นาโกยา ซึ่งได้รับรางวัลในสาขา Worldwide Fan Choice top 10 award ในวันที่ 4 ธันวาคม พ.ศ. 2562 และได้ปล่อยอัลบั้มเต็มภาษาญี่ปุ่นอัลบั้มแรก Treasure EP.Extra: Shift the Map ออกมาภายในวันเดียวกัน[43] นอกจากนี้เอทีซยังได้รับเลือกเป็นพิธีกรใหม่ของรายการญี่ปุ่นที่ชื่อว่า Kang On! Box!![44] ซึ่งจะเริ่มออกอากาศในวันที่ 7 มกราคม พ.ศ. 2563 ไปจนถึงวันที่ 7 เมษายน พ.ศ. 2563 เป็นจำนวน 13 ตอน[45][46]

ในปีนี้ เอทีซยังได้เข้าร่วมแสดงคอนเสิร์ตอีกหลายครั้งทั้ง KCON 2019 NY ที่นครนิวยอร์ก[47], KCON 2019 ที่ลอสแอนเจลิส, KCON Thailand ที่ประเทศไทย และ Spotify On Stage 2019 ที่จาการ์ตา[48] รวมถึงงานประจำปีที่ประเทศเกาหลีอย่าง Seoul Music Festival (SMUF)[49] และ Busan One Asia Festival[50]

2563–ปัจจุบัน: Treasure Epilogue, The Fellowship: Map the Treasure tour และ Zero: Fever Part.1

ในวันที่ 6 มกราคม พ.ศ. 2563 เอทีซกลับมาพร้อมกับมินิอัลบั้มใหม่ที่ชื่อว่า Treasure Epilogue: Action to Answer ซึ่งเป็นมินิอัลบั้มที่ 4 รวมถึงเป็นอัลบั้มสุดท้ายในซีรีส์ Treasure[51] พร้อมเพลงโปรโมตหลักอย่าง "Answer" นอกจากนี้ยังมีการปล่อยมิวสิควิดีโอเวอร์ชันภาษาญี่ปุ่นของเพลงนี้ในวันที่ 29 มกราคม พ.ศ. 2563 อีกด้วย

การกลับมาในครั้งนี้ยังมาพร้อมกับการประกาศเวิลด์ทัวร์ครั้งใหม่ที่มีชื่อว่า The Fellowship: Map the Treasure tour โดยเริ่มต้นที่กรุงโซลในเดือนกุมภาพันธ์ ต่อด้วยโซนยุโรปทั้งหมด 7 เมืองในเดือนมีนาคม ประเทศญี่ปุ่นจำนวน 2 เมือง และประเทศสหรัฐอเมริกาอีก 5 เมืองในเดือนเมษายน[52] แต่เนื่องด้วยสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส COVID-19 ส่งผลให้การเวิลด์ทัวร์ที่ยุโรป[53] ญี่ปุ่น[54] และสหรัฐอเมริกา[55]ต้องถูกเลื่อนออกไปอย่างไม่มีกำหนด แม้ว่าการจำหน่ายบัตรในหลาย ๆ เมืองจะหมดไปตั้งแต่เดือนมกราคมแล้วก็ตาม[56]

และด้วยความสำเร็จอย่างต่อเนื่อง ทำให้ พัคยางอู รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม กีฬา และการท่องเที่ยว สาธารณรัฐเกาหลี หรือ Korean Culture and Information Service (KOCIS) ได้แต่งตั้งเอทีซเป็นทูตวัฒนธรรมต่างประเทศประจำปี พ.ศ. 2563 ในวันที่ 8 พฤษภาคม พ.ศ. 2563[57][58] โดยภารกิจที่ได้รับมอบหมายแรกคือ “Overcome Together” relay challenge เพื่อกระตุ้นให้ประชาชนปรับเปลี่ยนพฤติกรรมเพื่อป้องกันเชื้อไวรัส COVID-19[59][60]

ในวันที่ 4 กรกฎาคม พ.ศ. 2563 เอทีซประกาศการกลับมาอีกครั้งพร้อมด้วยมินิอัลบั้มที่ 5 ที่ชื่อว่า Zero: Fever Part 1 ภายใต้ซีรีส์ใหม่ Zero[61] หลังจากนั้นในวันที่ 12 กรกฎาคม พ.ศ. 2563 เอทีซเปิดให้แฟนคลับโหวตเพลงที่จะใช้ในการโปรโมตระหว่างเพลง "Inception" และ "Thanxx" พร้อมด้วยตัวอย่างสั้น ๆ ของทั้งสองเพลงที่ถูกปล่อยออกมาในวันที่ 13[62][63], 14[64][65] และวันที่ 17 กรกฎาคม พ.ศ. 2563[66][67] รวมถึงคลิปการโหวตเพลงที่จะใช้ในการโปรโมตจากเหล่าคนดังในวงการบันเทิงในวันที่ 17 กรกฎาคม พ.ศ. 2563[68] จากผลโหวตทั้งหมดทำให้ "Inception" ได้รับเลือกเป็นเพลงโปรโมตหลัก และมิวสิควิดีโอของเพลงดังกล่าวได้ถูกปล่อยออกมาในวันที่ 29 กรกฎาคม พ.ศ. 2563 พร้อมการจำหน่ายมินิอัลบั้มนี้ในวันเดียวกัน[69] โดยมินิอัลบั้มที่ 5 เป็นอัลบั้มแรกของเอทีซที่สามารถทำยอดขายรวมได้สูงเกิน 100,000 อัลบั้มตั้งแต่วันแรกที่ปล่อยอัลบั้ม และขายได้ 233,399 อัลบั้มภายในสัปดาห์เดียวบนแพลตฟอร์ม Hanteo ซึ่งเพิ่มขึ้นเกือบ 4 เท่าจากอัลบั้มก่อนหน้าหรือ Treasure Epilogue: Action to Answer[70] นอกจากนี้ยังสามารถขายได้เกินกว่า 300,000 อัลบั้มบนแพลตฟอร์ม Hanteo แล้ว ตั้งแต่วันที่ 13 สิงหาคม พ.ศ. 2563[71]