ประวัติ ของ แก๊กต์

ชีวิตวัยเด็ก

แก๊กต์ คามุอิ เกิดที่จังหวัด โอกินาว่า ประเทศญี่ปุ่นในวันที่ 4 กรกฎาคม พ.ศ. 2516 ในเว็บไซต์อย่างเป็นทางการของเขาบอกเพียงแต่วันและเดือนที่เกิด อย่างไรก็ตาม ใน DVD The Sixth Day & Seventh Night (ดูเพิ่มที่ [1] ได้โชว์ป้ายหลุมศพที่ใช้ในการแสดงสดซึ่งได้สลักข้อความว่า "Gackt 1973~2007" ซึ่งก็บอกความเป็นนัยๆได้ว่าแก๊กต์เกิดในปี ค.ศ. 1973 หรือ พ.ศ. 2516 นั่นเอง ครอบครัวของเขาประกอบด้วย พี่สาว แม่ซึ่งมักบังคับให้เขาเรียนเปียโนทั้งๆ ที่เขาเกลียดมันมากที่สุด และพ่อเป็นนักดนตรี แจ๊ส ที่เล่น ทรัมเป็ต ความสัมพันธ์ระหว่างแก๊กต์และพ่อของเขาไม่ดีนัก พวกเขามักต่อยตีกันเป็นประจำ และแก๊กต์มักจะแพ้พ่ออยู่เสมอ เพราะฉะนั้นในสมัยแก๊กต์ยังเด็ก เขามักจะมองพ่อของตนเป็นคู่แข่งคนสำคัญที่ต้องข้ามผ่านไปให้ได้

แก๊กต์เป็นเด็กไม่อยู่นิ่งและชอบที่จะเสี่ยงอันตราย นอกจากนี้เขายังเป็นเด็กที่มีความคิดแปลกประหลาด และลึกซึ้งเกินเด็กธรรมดาทั่วๆ ไป (เห็นได้จากที่แก๊กต์เคยเขียนไว้ในหนังสืออัตชีวประวัติ [2] ของตัวเองว่า เขาเคยฝันอยากเป็นผู้ก่อการร้าย และวิธีการเอาตัวรอดจากการถูกขังลืมอยู่ในโรงพยาบาลเนื่องจากอาการที่แพทย์ลงความเห็นว่า "เขาป่วย" ซึ่งจะกล่าวในโอกาสต่อไป)

เขาเคยจมน้ำที่ชายฝั่ง โอกินาว่า เมื่อได้อายุ 7 ปี จากประสบการณ์เฉียดตายในครั้งนั้น ทำให้แก๊กต์กลายเป็นคนที่หลงใหลในกลิ่นอายของความตาย ดังนั้นเขาจึงมักทำในสิ่งที่เสี่ยงอันตรายเพื่อที่ได้เข้าใกล้ความเต้นตื่นเร้าใจในช่วงเวลาที่ใกล้ตายอยู่บ่อยครั้ง แต่สุดท้ายขณะที่นึกว่าตัวเองกำลังจะตาย เขาก็มักรู้สึกหวาดกลัวอย่างสุดขีดและถอยหลังกลับมาเองทุกครั้ง นอกจากนี้เหตการณ์ครั้งนั้นยังทำให้เขาได้รับความสารถพิเศษกลับมาด้วย ความสามารถนั้นคือการสามารถในการมองเห็นและพูดคุยกับสิ่งที่คนทั่วไปเรียกว่า วิญญาณ ได้ ซึ่งนั้นก็รวมถึงสมาชิกในครอบครัวที่เสียชีวิตไปแล้ว ในตอนแรกคนในครอบครัวก็คิดว่าเขาคงแกล้งทำเพื่อเรียกร้องความสนใจจึงไม่ได้ใส่ใจอะไร

ทว่า ... ต่อมาสายตาของคนรอบข้างก็มักจะมองเขาด้วยสายตาแปลกๆ ราวกับว่าเขาเป็นตัวประหลาด แม้แต่สายตาของคนในครอบครัวที่มอง แก๊กต์ก็ยังแฝงความหวาดกลัวต่อท่าทางของเขาอยู่เงียบๆ ซึ่งนั้นทำให้เขารู้สึกอึดอัดและกดดันอย่างมากกับการปฏิบัติที่เย็นชา และเริ่มรู้สึกว่าตัวเองไม่ใช่คนในครอบครัว

แก๊กต์ไม่ได้รับการพิสูจน์จากสถาบันเพื่อยืนยันเรื่องที่เขามี สัมผัสที่หก ซึ่งขัดแย้งกับความเชื่อของคนทั่ว ๆ ไป เมื่อเขาอายุได้ 10 ปี เขาก็ล้มป่วยจนต้องเข้าโรงพยาบาลเนื่องจากมีปัญหาเกี่ยวกับลำไส้ เขาต้องอยู่อย่างโดดเดี่ยวเป็นเวลานานในแผนกกุมารเวชสำหรับเด็กที่เจ็บป่วยอย่างรุนแรงมันเป็นช่วงเวลาที่เลวร้ายที่สุดในชีวิตช่วงหนึ่งของเขาเลยทีเดียว

นอกจากจะต้องอยู่อย่างว้าเหว่ไร้การสนใจจากทางบ้านแล้ว เพื่อนที่เขาสนิทด้วยทุกคนมักจะเสียชีวิตหลังจากได้รู้จักกับเขาเพียงไม่นาน แม้ว่าทุกคนจะจากไปด้วยอาการป่วยระยะสุดท้ายอย่างไม่หลีกเลี่ยง แต่ด้วยวัยเพียง 10 ขวบ เขาจึงเข้าใจว่าตัวเองเป็นเด็กถูกสาป ทุกคนที่เข้ามาคุยด้วยจะต้องตายหมด ดังนั้นเขาจึงเริ่มกลายเป็นเด็กเก็บตัวและไม่คบหากับใครอีก และกลายเป็นคนที่ไม่สมดุลทางด้านจิตใจและเก็บกดในเวลาต่อมา

วันหนึ่งเมื่อความอดทนต่อสภาพภายในคุกซึ่งไร้ทางหนีที่มีแต่ความสิ้นหวังเท่านั้นที่รอคอยเขาอยู่นั้นได้ขาดสะบั้นลง ทำให้ แก๊กต์ไม่อาจจะทนทานความรู้สึกเหล่านั้นได้อีกต่อไป เขาจึงเริ่มมองหาทางที่จะได้ออกจากที่นี่ สุดท้ายเขาก็ค้นพบมัน และวิธีนั้นก็คือ 'การเลียนแบบ' เพื่อที่จะได้เป็น 'คนปกติ' เขาจึงเลียนแบบความ 'ปกติ' จากคุณหมอเจ้าของไข้ซึ่งมาตรวจอาการเขาทุกเช้า ทำซ้ำๆ กันอยู่อย่างนั้นถึงหนึ่งสัปดาห์ ในที่สุดคุณหมอเจ้าของไข้ก็ลงความเห็นว่าเขา 'ปกติ' แล้วส่งตัวเขากลับบ้าน ในบ่ายวันนั้นเอง (เนื้อหาที่กล่าวมาข้างต้นถูกเขียนอยู่ในหนังสือจิฮาคุ [2] ที่แก๊กต์เป็นผู้เขียน)

เกี่ยวกับดนตรี

เนื่องจากเติบโตในครอบครัวนักดนตรี ดังนั้นเมื่อแก๊กต์อายุได้ 3 ปี พ่อแม่ของเขาจึงบังคับให้เรียน เปียโนคลาสสิก เพื่อที่จะได้กลายเป็นนักดนตรีเช่นเดียวกับพ่อในอนาคต โดยส่วนตัวแล้วเขาไม่ได้สนใจเปียโนเป็นพิเศษเลย เขาชอบออกไปเล่นกลางแจ้งเหมือนกันเด็กคนอื่นๆ มากกว่า แต่เพราะครูที่สอนเขาในตอนเริ่มเรียนนั้นเป็นคนตลก ทำให้เขาคิดว่าเขาอาจจะชอบมันก็ได้

ตอนอายุ 7 ปี เขาถูกส่งไปเรียนในโรงเรียนสอนเปียโน ซึ่งในบทเรียนในโรงเรียนนั้นเข้มงวดมาก ไม่เหมือนตอนที่เรียนกับครูคนแรกเลยสักนิด ในตอนนั้นเองที่เขาเริ่มเกลียดมัน และวิธีการต่อต้านของเขาก็คือการทำตัวเป็นเด็กเกเร คอยหาเรื่องแกล้งครูที่สอนทุกวิถีทาง เพื่อให้ครูบอกกับที่บ้านว่าตัวเขาเป็นเด็กเหลือขอเกินกว่าจะมาเรียนเปียโนได้ สุดท้ายความพยายามของเขาก็ประสบผล ในตอนเขาอายุ 12 ปี เขาได้เลิกเรียนมันแล้วกลับไปเรียนในโรงเรียนภาคปกติในที่สุด

เหตุการณ์หนึ่งที่เป็นแรงบันดาลใจให้เขากลับมาเล่นเปียโนอีกครั้งคือเพื่อนสมัยตัวเขาอาย 14 เพื่อนคนนั้นอยู่ในครอบครัวนักดนตรีเช่นเดียวกัน (เป็นครูสอนเปียโน) ทว่าฐานะดีกว่ามากวันหนึ่งระหว่างที่โดดเรียนไปเที่ยวบ้านของเด็กคนนั้นเขาได้ตระหนักเป็นครั้งแรกว่าว่าเพื่อนคนนั้นเล่นเปียโนได้เก่งกว่าเขามากเพียงใด

ผลที่ได้ก็คือเขากลับไปซ้อมเปียโนที่เลิกลามานานอย่างบ้าคลั่ง วันทั้งวันเขานั่งอยู่หน้าเปียโนเพื่อซ้อมเล่นเพลงจากหนังสือที่ซื้อมา โดยไม่กิน ไม่นอน ในเวลานั้นเขาลืมเลือนทุกอย่างแม้แต่เวลาผ่านไปนานท่าไหร่เขาก็ไม่อาจรับรู้ได้ ไม่มีสิ่งใดมาทำลายความตั้งใจของเขาได้ แม้กระทั่งเสียงอ้อนว้อนด้วยความเป็นห่วงจากผู้เป็นแม่ก็ตาม สิ่งที่เขารู้มีเพียงว่าตัวเองไม่อยากแพ้เพื่อนคนนั้น ความพ่ายแพ้เป็นสิ่งที่เขารับไม่ได้ที่สุด

หลังจากวันนั้นสิ่งที่ทำให้เขาสนใจดนตรีแนวร๊อคเริ่มจากพบรุ่นพี่คนหนึ่งซ้อมกลองอยู่เพียงลำพัง วินาทีนั้นเองที่ทำให้เขารู้สึกว่าการเป็นมือกลองเป็นอะไรที่สุดยอดมากๆๆ ดังนั้นต่อจากเปียโนเขาจึงเริ่มศึกษาการตีกลองด้วยวิธีของตัวเขาเอง [2]