หลิน เจิ้ง เยฺว่เอ๋อ (
จีน: 林鄭月娥;
พินอิน: Lín Zhèng Yuè'é; เกิด 13 พฤษภาคม พ.ศ. 2500) หรือ
ภาษากวางตุ้งว่า
หลั่ม แจ่ง ยฺหวุดหง่อ (
เยฺว่พิน: Lam4 Zeng6 Jyut6ngo4) หรือ
แคร์รี หลั่ม (Carrie Lam) เป็นนักการเมือง
ชาวฮ่องกง ดำรงตำแหน่ง
ผู้บริหารสูงสุด (Chief Executive) คนที่ 4 และคนปัจจุบันของ
ฮ่องกงมาตั้งแต่ พ.ศ. 2560
[3] ก่อนหน้านี้ ดำรงตำแหน่ง
รัฐมนตรีใหญ่ฝ่ายปกครอง (政務司司長 "หัวหน้าสำนักสำนักรัฐกิจ"; Chief Secretary for Administration) ตั้งแต่ พ.ศ. 2555 ถึง 2560 และ
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนา (發展局局長 "หัวหน้ากระทรวงกระทรวงการพัฒนา"; Secretary for Development) ตั้งแต่ พ.ศ. 2550 ถึง 2555เธอสำเร็จการศึกษาจาก
มหาวิทยาลัยฮ่องกง แล้วเข้ารับราชการเมื่อ พ.ศ. 2523 สมัยที่ฮ่องกงยังอยู่ในความปกครองของบริเตน ต่อมาเมื่อได้รับแต่งตั้งเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนา จึงกลายเป็นข้าราชการคนสำคัญขึ้น ช่วงที่ดำรงตำแหน่งดังกล่าวอยู่นั้น เธอได้ฉายาว่า "นักสู้ยิบตา" (tough fighter) เพราะสนับสนุนการรื้อ
ท่าเรือราชินี (Queen's Pier) อย่างแข็งขันเธอได้รับแต่งตั้งเป็นรัฐมนตรีใหญ่ฝ่ายปกครองในครั้งที่
เหลียง เจิ้นอิง (Leung Chun-ying) เป็นผู้บริหารสูงสุดของฮ่องกง ช่วงนั้น เธอเป็นหัวหน้าคณะทำงานเฉพาะกิจว่าด้วยการพัฒนารัฐธรรมนูญ (Task Force on Constitutional Development) ใน
การปฏิรูปการเมืองช่วง พ.ศ. 2556–2558 และจัดการพูดคุยกับผู้นำนักศึกษาใน
การประท้วงเมื่อ พ.ศ. 2557 ต่อมาใน
การเลือกตั้งผู้บริหารสูงสุดของฮ่องกง พ.ศ. 2560 เธอได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลจีนแผ่นดินใหญ่ และได้รับคะแนนเสียง 777 คะแนนจาก
กรรมการการเลือกตั้งซึ่งมีทั้งหมด 1,194 คน จึงได้เป็นผู้บริหารสูงสุดคนใหม่ เธอแถลงชัยชนะโดยสัญญาว่า จะ "เยียวยาความแตกแยกในสังคม" (heal the social divide) และ "หลอมรวมสังคมเราให้ก้าวหน้า" (unite our society to move forward)อย่างไรก็ดี การปกครองของเธอเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์หลายขนาน เช่น ในประเด็นที่จับนักกิจกรรมมาขึ้นศาลและจำคุก รวมถึงตัดสิทธิ์ทางการเมืองของผู้สมัครรับเลือกตั้งจากฝั่งประชาธิปไตยและฝั่งที่สนับสนุนให้ฮ่องกงประกาศเอกราชจากจีน
[4][5] นอกจากนี้ ใน พ.ศ. 2562 รัฐบาลของเธอเสนอ "ร่างรัฐบัญญัติกฎหมายผู้หนีคดีและความช่วยเหลือร่วมกันทางกฎหมายในคดีอาญา (แก้ไขเพิ่มเติม) ค.ศ. 2019" (Fugitive Offenders and Mutual Legal Assistance in Criminal Matters Legislation (Amendment) Bill 2019) ซึ่งนำไปสู่
การประท้วงอย่างกว้างขวางทั้งในและนอกฮ่องกง ผู้ประท้วงหลายคนยังเรียกร้องให้เธอลาออก เพราะมองว่า เธอเป็นหุ่นเชิดของจีนแผ่นดินใหญ่
[6]