สโมสรอาชีพ ของ แดเนียล_สเตอร์ริดจ์

แมนเชสเตอร์ซิตี

ฤดูกาล 2006-09

ส่วนนี้รอเพิ่มเติมข้อมูล คุณสามารถช่วยเพิ่มข้อมูลส่วนนี้ได้

เชลซี

ฤดูกาล 2009-10

ส่วนนี้รอเพิ่มเติมข้อมูล คุณสามารถช่วยเพิ่มข้อมูลส่วนนี้ได้

ฤดูกาล 2010-11

ส่วนนี้รอเพิ่มเติมข้อมูล คุณสามารถช่วยเพิ่มข้อมูลส่วนนี้ได้
โบลตันวอนเดอเรอส์ (ยืมตัว)

ในวันที่ 31 มกราคม ค.ศ. 2011 สเตอร์ริดจ์ ได้ย้ายไปอยู่กับ โบลตันวอนเดอเรอส์ ด้วยสัญญายืมตัวจนจบฤดูกาล

ฤดูกาล 2011-12

ส่วนนี้รอเพิ่มเติมข้อมูล คุณสามารถช่วยเพิ่มข้อมูลส่วนนี้ได้

ฤดูกาล 2012-13

สเตอร์ริดจ์ไม่ค่อยได้ลงสนามมากนัก เนื่องจากมีอาการบาดเจ็บรบกวนอยู่บ่อยครั้ง โดยสเตอร์ริดจ์ทำได้แค่ประตูเดียวในพรีเมียร์ลีก ในนัดที่เชลซีเอาชนะทอตนัมฮอตสเปอร์ 4-2 ประตูสุดท้ายของ สเตอร์ริดจ์ คือนัดที่ เชลซี ลงเล่นในลีกคัพ เอาชนะ แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด ในช่วงต่อเวลาพิเศษ 5-4 ก่อนจะย้ายไปอยู่กับลิเวอร์พูลในช่วงเปิดตลาดเดือนมกราคม

ลิเวอร์พูล

ในวันที่ 2 มกราคม ค.ศ. 2013 สเตอร์ริดจ์ได้ย้ายจากเชลซีมาอยู่กับลิเวอร์พูลด้วยค่าตัว 12 ล้านปอนด์ โดยสเตอร์ริดจ์ได้สวมเสื้อหมายเลข 15

ฤดูกาล 2012-13

สเตอร์ริดจ์ลงเล่นให้กับลิเวอร์พูล ในนัดที่เจอกับสวอนซีซิตี

ในวันที่ 6 มกราคม ค.ศ. 2013 เอฟเอคัพรอบ 3 สเตอร์ริดจ์ได้ลงสนามนัดแรกเจอกับแมนฟีลด์ทาวน์ และสเตอร์ริดจ์ก็ทำประตูแรกให้กับลิเวอร์พูลในช่วง 7 นาทีแรก ก่อนที่ลิเวอร์พูลจะชนะไป 2-1 ช่วยให้ ลิเวอร์พูล ผ่านเข้ารอบ 4 เอฟเอคัพ ได้สำเร็จ ต่อมาในวันที่ 13 มกราคม ค.ศ. 2013 สเตอร์ริดจ์ได้ทำประตูแรกให้กับลิเวอร์พูลในพรีเมียร์ลีก โดยลงสนามเป็นตัวสำรอง ยิงตีไข่แตกไล่แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด แต่ก็แพ้ไป 1-2[4] ต่อมา สเตอร์ริดจ์ทำประตูที่ 2 ในพรีเมียร์ลีก ในนัดที่ลิเวอร์พูลเปิดสนามแอนฟีลด์เอาชนะนอริชซิตี 5-0 ทำให้สเตอร์ริดจ์เป็นนักฟุตบอลคนแรกที่ลงสนาม 3 นัด ยิงประตูได้ 3 ประตู สถิติเทียบเท่ากับเรย์ เคนเนดี ที่ทำไว้ในปี 1974 ต่อมาในวันที่ 3 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2013 สเตอร์ริดจ์ ทำประตูตีเสมอใส่ทีมเก่า แมนเชสเตอร์ซิตี 1-1 ก่อนจะจบด้วยผลเสมอ 2-2[5] ต่อมา ในวันที่ 17 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2013 สเตอร์ริดจ์ยิงจุดโทษปิดท้ายให้ลิเวอร์พูลเปิดสนามแอนฟีลด์เอาชนะสวอนซีซิตี 5-0[6] ต่อมา ในวันที่ 21 เมษายน ค.ศ. 2013 สเตอร์ริดจ์ ทำประตูตีเสมอใส่ทีมเก่า เชลซี 1-1 ก่อนจะจบด้วยผลเสมอ 2-2 ต่อมา ในวันที่ 27 เมษายน ค.ศ. 2013 สเตอร์ริดจ์ได้ทำ 2 ประตูให้ลิเวอร์พูลเอาชนะนิวคาสเซิลยูไนเต็ด ที่เซนต์เจมส์พาร์ก 6-0[7] ต่อมา ในวันที่ 12 พฤษภาคม ค.ศ. 2013 สเตอร์ริดจ์ ทำแฮตทริกครั้งแรกของเขาให้กับลิเวอร์พูล ในนัดที่เอาชนะฟูลัมที่เครเวนคอตทิจ 3-1[8] จบฤดูกาล สเตอร์ริดจ์ยิงประตูในพรีเมียร์ลีกได้ 10 ประตู จาก 14 นัด และยิงได้ทั้งหมด 11 ประตู จาก 16 นัด รวมทุกรายการ ทำให้ สเตอร์ริดจ์ กลายเป็นผู้เล่นที่เป็นกุญแจสำคัญของลิเวอร์พูล

ฤดูกาล 2013-14

สเตอร์ริดจ์ลงเล่นให้กับลิเวอร์พูล ในนัดที่เจอกับ สโตกซิตี ในนัดเปิดฤดูกาล 2013–14

ในวันที่ 17 สิงหาคม ค.ศ. 2013 พรีเมียร์ลีก นัดเปิดฤดูกาล 2013–14 ลิเวอร์พูลเปิดสนามแอนฟีลด์เจอกับสโตกซิตี โดยสเตอร์ริดจ์ได้ทำประตูชัยให้ลิเวอร์พูลเอาชนะ สโตกซิตี 1-0[9] [10] ต่อมา ในวันที่ 24 สิงหาคม ค.ศ. 2013 สเตอร์ริดจ์ทำประตูที่ 2 ในพรีเมียร์ลีก ในนัดที่เอาชนะแอสตันวิลลาที่วิลลาพาร์ก 1-0[11] [12] ต่อมา ในวันที่ 27 สิงหาคม ค.ศ. 2013 ลีกคัพ รอบ 2 สเตอร์ริดจ์ ได้ยิง 2 ประตูให้ ลิเวอร์พูล เปิดสนามแอนฟีลด์เอาชนะ นอตส์เคาน์ตี ในช่วงต่อเวลาพิเศษ 4-2 ช่วยให้ ลิเวอร์พูล ผ่านเข้ารอบ 3 ลีกคัพ ได้สำเร็จ[13] ด้วยผลงานยอดเยี่ยมทำให้ สเตอร์ริดจ์ ได้รางวัลผู้เล่นยอดเยื่ยมประจำเดือนสิงหาคม ของ พรีเมียร์ลีก[14] ต่อมา ในวันที่ 1 กันยายน ค.ศ. 2013 สเตอร์ริดจ์ได้ฉลองวันเกิดด้วยการทำประตูชัยให้ลิเวอร์พูลเปิดสนามแอนฟีลด์เอาชนะ แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด คู่ปรับตลอดกาล 1-0[15] [16] ต่อมา ในวันที่ 16 กันยายน ค.ศ. 2013 สเตอร์ริดจ์ทำประตูที่ 4 ติดต่อกันในพรีเมียร์ลีก ในนัดที่เสมอกับสวอนซีซิตี ที่ลิเบอร์ตีสเตเดียม 2-2 ทำให้สเตอร์ริดจ์กลายเป็นนักเตะลิเวอร์พูลคนแรกนับตั้งแต่ จอห์น อัลดริดจ์ ในปี 1987 ที่ทำประตูได้ทุกนัดใน 4 นัดแรกของฤดูกาล ต่อมา ในวันที่ 29 กันยายน ค.ศ. 2013 สเตอร์ริดจ์ ทำประตูที่ 5 ในพรีเมียร์ลีก ในนัดที่เอาชนะซันเดอร์แลนด์ที่สเตเดียมออฟไลต์ 3-1[17] [18] ต่อมา ในวันที่ 5 ตุลาคม ค.ศ. 2013 สเตอร์ริดจ์ ทำประตูที่ 6 ในพรีเมียร์ลีก ในนัดที่ ลิเวอร์พูล เปิดสนามแอนฟีลด์เอาชนะ คริสตัลพาเลซ 3-1[19] ต่อมา ในวันที่ 19 ตุลาคม ค.ศ. 2013 สเตอร์ริดจ์ ได้ทำประตูที่ 7 ในพรีเมียร์ลีก ในนัดที่เสมอกับ นิวคาสเซิลยูไนเต็ด ที่เซนต์เจมส์พาร์ก 2-2[20] ต่อมา ในวันที่ 26 ตุลาคม ค.ศ. 2013 สเตอร์ริดจ์ ได้ทำประตูที่ 8 ในพรีเมียร์ลีก ในนัดที่ ลิเวอร์พูล เปิดสนามแอนฟีลด์เอาชนะ เวสต์บรอมมิชอัลเบียน 4-1[21] [22] ต่อมา ในวันที่ 23 พฤศจิกายน ค.ศ. 2013 สเตอร์ริดจ์ ได้ทำประตูที่ 9 ในพรีเมียร์ลีก โดยลงสนามเป็นตัวสำรอง ในนัดที่เสมอกับ เอฟเวอร์ตัน ที่กูดิสันพาร์ก 3-3[23] ในวันที่ 29 พฤศจิกายน ค.ศ. 2013 สเตอร์ริดจ์ ได้มีอาการบาดเจ็บที่เอ็นข้อเท้าในระหว่างการฝึกซ้อมทำให้ต้องพักยาว 6-8 สัปดาห์

ในวันที่ 12 มกราคม ค.ศ. 2014 สเตอร์ริดจ์ ได้กลับมาลงสนามอีกครั้ง โดยถูกส่งลงมาเป็นตัวสำรองและทำประตูที่ 10 ในพรีเมียร์ลีก ในนัดที่ ลิเวอร์พูล เอาชนะ สโตกซิตี ที่บริแทนเนียสเตเดียม 5-3[24] [25] ต่อมา ในวันที่ 18 มกราคม ค.ศ. 2014 สเตอร์ริดจ์ ได้ทำประตูที่ 11 ในพรีเมียร์ลีก ในนัดที่ ลิเวอร์พูล เปิดสนามแอนฟีลด์เสมอกับ แอสตันวิลลา 2-2[26] ต่อมา ในวันที่ 25 มกราคม ค.ศ. 2014 เอฟเอคัพ รอบ 4 สเตอร์ริดจ์ ได้ทำประตูให้ ลิเวอร์พูล เอาชนะ บอร์นมัท 2-0 ช่วยให้ ลิเวอร์พูล ผ่านเข้ารอบ 5 เอฟเอคัพ ได้สำเร็จ[27] ต่อมา ในวันที่ 28 มกราคม ค.ศ. 2014 สเตอร์ริดจ์ ได้ยิง 2 ประตูให้ ลิเวอร์พูล เปิดสนามแอนฟีลด์เอาชนะ เอฟเวอร์ตัน 4-0[28] [29] ต่อมา ในวันที่ 2 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2014 สเตอร์ริดจ์ ได้ทำประตูที่ 14 ในพรีเมียร์ลีก ในนัดที่เสมอกับ เวสต์บรอมมิชอัลเบียน ที่เดอะฮอว์ทอนส์ 1-1[30] ต่อมา ในวันที่ 8 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2014 สเตอร์ริดจ์ ได้ทำประตูที่ 15 ในพรีเมียร์ลีก ในนัดที่ ลิเวอร์พูล เปิดสนามแอนฟีลด์เอาชนะ อาร์เซนอล 5-1[31] [32] ต่อมา ในวันที่ 12 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2014 สเตอร์ริดจ์ ได้ทำประตูที่ 16 ในพรีเมียร์ลีก ในนัดที่ ลิเวอร์พูล เอาชนะ ฟูลัม ที่เครเวนคอตทิจ 3-2[33] ต่อมา ในวันที่ 23 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2014 สเตอร์ริดจ์ ได้ยิง 2 ประตูให้ ลิเวอร์พูล เปิดสนามแอนฟีลด์เอาชนะ สวอนซีซิตี 4-3[34] ด้วยผลงานยอดเยี่ยมทำให้ สเตอร์ริดจ์ ได้รางวัลผู้เล่นยอดเยื่ยมประจำเดือนกุมภาพันธ์ ของ พรีเมียร์ลีก โดยยิงได้ 5 ประตูจาก 6 นัด[35] ต่อมา ในวันที่ 22 มีนาคม ค.ศ. 2014 สเตอร์ริดจ์ ได้ทำประตูที่ 19 ในพรีเมียร์ลีก ในนัดที่ ลิเวอร์พูล เอาชนะ คาร์ดิฟฟ์ซิตี ที่คาร์ดิฟฟ์ซิตีสเตเดียม 6-3[36] [37] ต่อมา ในวันที่ 26 มีนาคม ค.ศ. 2014 สเตอร์ริดจ์ ได้ทำประตูที่ 20 ในพรีเมียร์ลีก ในนัดที่ ลิเวอร์พูล เปิดสนามแอนฟีลด์เอาชนะ ซันเดอร์แลนด์ 2-1[38] ทำให้ สเตอร์ริดจ์ เป็นนักเตะคนแรกนับตั้งแต่ช่วงทศวรรษ 1890 ที่สามารถยิงให้ ลิเวอร์พูล ได้ถึงหลัก 30 ลูก จากการลงเล่นเพียงแค่ 37 นัด ต่อมา สเตอร์ริดจ์ ได้ติด 1 ใน 6 เข้าชิงรางวัลนักฟุตบอลยอดเยี่ยมของพีเอฟเอ รวมถึงเข้าชิงราวัลนักฟุตบอลดาวรุ่งยอดเยี่ยมของพีเอฟเอ ในวันที่ 27 เมษายน ค.ศ. 2014 สเตอร์ริดจ์, สตีเวน เจอร์ราร์ด และ ลุยส์ ซัวเรซ 3 นักเตะของลิเวอร์พูล ได้ติดทีมยอดเยี่ยมแห่งปีของพีเอฟเอ ต่อมา ในวันที่ 11 พฤษภาคม ค.ศ. 2014 นัดปิดฤดูกาล ลิเวอร์พูล เปิดสนามแอนฟีลด์ เจอกับ นิวคาสเซิลยูไนเต็ด เป็นนัดตัดสินแชมป์พรีเมียร์ลีกระหว่าง ลิเวอร์พูล กับ แมนเชสเตอร์ซิตี ในนัดนี้ ลิเวอร์พูล จะต้องชนะ นิวคาสเซิลยูไนเต็ด และต้องลุ้นให้ เวสต์แฮมยูไนเต็ด เอาชนะ แมนเชสเตอร์ซิตี ที่เอติฮัดสเตเดียม ลิเวอร์พูล ก็จะได้แชมป์พรีเมียร์ลีก โดย สเตอร์ริดจ์ ได้ทำประตูชัยให้ ลิเวอร์พูล เอาชนะ นิวคาสเซิลยูไนเต็ด 2-1 แต่สุดท้าย แมนเชสเตอร์ซิตี เอาชนะ เวสต์แฮมยูไนเต็ด 2-0 ทำให้ ลิเวอร์พูล พลาดโอกาสคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีก อย่างน่าเสียดาย[39] จบฤดูกาล สเตอร์ริดจ์ ยิงประตูในพรีเมียร์ลีกได้ 21 ประตู จาก 29 นัด และยิงได้ทั้งหมด 24 ประตู จาก 33 นัด รวมทุกรายการ[40] และช่วยให้ ลิเวอร์พูล ได้อันดับ 2 ทำให้ ลิเวอร์พูล ได้กลับไปเล่นยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก นับตั้งแต่ในปี 2009[41]

ฤดูกาล 2014-15

สเตอร์ริดจ์ลงเล่นให้กับลิเวอร์พูล ในนัดที่อุ่นเครื่องเจอกับ โบรุสซีอาดอร์ทมุนท์

ในวันที่ 17 สิงหาคม ค.ศ. 2014 พรีเมียร์ลีก นัดเปิดฤดูกาล 2014–15 ลิเวอร์พูลเปิดสนามแอนฟีลด์เจอกับ เซาแธมป์ตัน โดยสเตอร์ริดจ์ได้ทำประตูชัยให้ลิเวอร์พูลเอาชนะ เซาแธมป์ตัน 2-1[42] ต่อมา สเตอร์ริดจ์ ได้มีอาการบาดเจ็บที่ต้นขาในระหว่างการฝึกซ้อมให้กับทีมชาติอังกฤษทำให้ต้องพักยาว 1 เดือน ต่อมา ในวันที่ 3 ตุลาคม ค.ศ. 2014 สเตอร์ริดจ์ ได้ตัดสินใจต่อสัญญาระยะยาวกับสโมสรลิเวอร์พูล ไปจนถึงปี 2019 พร้อมค่าเหนื่อยเพิ่มอีก 5 เท่า จาก 30,000 ปอนด์ต่อสัปดาห์ (ประมาณ 1,500,000 บาท) เป็น 150,000 ปอนด์ต่อสัปดาห์ (ประมาณ 7,500,000 บาท) [43] ต่อมา สเตอร์ริดจ์ ได้มีอาการบาดเจ็บอีกครั้งที่น่องยึดขณะลงฝึกซ้อมในวันพฤหัสบดี ทำให้ต้องพักยาวอีก 2-4 สัปดาห์ ต่อมา ในวันที่ 18 พฤศจิกายน ค.ศ. 2014 สเตอร์ริดจ์ ได้มีอาการบาดเจ็บที่เดิมอีกครั้งที่ต้นขาในระหว่างการฝึกซ้อมให้กับสโมสรและมีการเปิดเผยว่า สเตอร์ริดจ์ ได้มีอาการบาดเจ็บที่ต้นขาเป็นครั้งที่ 9 แล้วทำให้ต้องพักยาวอีก 6 สัปดาห์ หลังจากนั้น สโมสรลิเวอร์พูล ได้ส่ง สเตอร์ริดจ์ ไปลอสแอนเจลิส ประเทศอเมริกา เพื่อไปซ้อมในอากาศที่อบอุ่นเพื่อทำให้ร่างกายฟื้นตัวได้เร็วขึ้นใน 2 สัปดาห์

ในวันที่ 31 มกราคม ค.ศ. 2015 สเตอร์ริดจ์ กลับมาลงสนามอีกครั้งในรอบ 5 เดือน โดยลงสนามเป็นตัวสำรองแทน ลาซาร์ มาร์โควิช และทำประตูที่ 2 ในพรีเมียร์ลีก ในนัดที่ ลิเวอร์พูล เปิดสนามแอนฟีลด์เอาชนะ เวสต์แฮมยูไนเต็ด 2-0[44] ต่อมา ในวันที่ 14 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2015 เอฟเอคัพ รอบห้า สเตอร์ริดจ์ ทำประตูตีเสมอ ในนัดที่ ลิเวอร์พูล เอาชนะ คริสตัลพาเลซ ที่เซลเฮิสต์พาร์ก 2-1 ช่วยให้ ลิเวอร์พูล ผ่านเข้ารอบแปดทีมสุดท้ายของเอฟเอคัพ ได้สำเร็จ[45] ต่อมา ในวันที่ 4 มีนาคม ค.ศ. 2015 สเตอร์ริดจ์ ทำประตูที่ 3 ในพรีเมียร์ลีก ในนัดที่ ลิเวอร์พูล เปิดสนามแอนฟีลด์เอาชนะ เบิร์นลีย์ 2-0[46]

ในวันที่ 22 มีนาคม ค.ศ. 2015 สเตอร์ริดจ์ ยิงตีไข่แตกไล่ แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด แต่ก็แพ้ไป 1-2 ต่อมา สเตอร์ริดจ์ ได้มีอาการบาดเจ็บอีกครั้งที่บริเวณสะโพก โดยมีอาการกล้ามเนื้อสะโพกฉีกจากเกมลีกนัดที่แพ้ แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด 1-2 ทำให้เขาต้องถอนตัวจากทีมชาติอังกฤษ และเข้ารับการผ่าตัดสะโพกทำให้เขาพักทั้งฤดูกาลเป็นที่เรียบร้อย ในวันที่ 5 พฤษภาคม ค.ศ. 2015 สเตอร์ริดจ์ ได้ไปซ้อมอบอุ่นร่างกายที่สหรัฐอเมริกา เพื่อทำให้ร่างกายฟื้นตัวได้เร็วขึ้นอีกครั้ง จบฤดูกาล สเตอร์ริดจ์ ยิงประตูในพรีเมียร์ลีกได้แค่ 4 ประตูจาก 12 นัด เนื่องจากมีอาการบาดเจ็บรบกวนอยู่บ่อยครั้ง

ฤดูกาล 2015-16

หลังจากไม่ได้ลงสนาม 5 นัดแรกในพรีเมียร์ลีก ฤดูกาล 2015–16 เพราะมีอาการบาดเจ็บ ในวันที่ 20 กันยายน ค.ศ. 2015 สเตอร์ริดจ์ ลงสนามนัดแรกในพรีเมียร์ลีก ในนัดที่ ลิเวอร์พูล เปิดสนามแอนฟีลด์เสมอกับ นอริชซิตี 1-1 ต่อมา ในวันที่ 26 กันยายน ค.ศ. 2015 สเตอร์ริดจ์ ทำประตูแรกในพรีเมียร์ลีกโดยยิง 2 ประตูให้ ลิเวอร์พูล เปิดสนามแอนฟีลด์เอาชนะ แอสตันวิลลา 3-2[47] [48] ต่อมา ในวันที่ 15 ตุลาคม ค.ศ. 2015 สเตอร์ริดจ์ มีอาการบาดเจ็บอีกครั้งที่บริเวณหัวเข่าในช่วงฝึกซ้อม ต่อมา ในวันที่ 29 พฤศจิกายน ค.ศ. 2015 สเตอร์ริดจ์กลับมาลงสนามอีกครั้ง โดยลงสนามเป็นตัวสำรองแทน คริสตีย็อง แบนเตเก ในนัดที่ ลิเวอร์พูล เปิดสนามแอนฟีลด์เอาชนะ สวอนซีซิตี 1-0

ในวันที่ 2 ธันวาคม ค.ศ. 2015 ฟุตบอลลีกคัพ รอบห้า สเตอร์ริดจ์ ลงสนามเป็นตัวจริงและยิง 2 ประตู ในนัดที่ ลิเวอร์พูล เอาชนะ เซาแทมป์ตัน ที่เซนต์แมรีส์สเตเดียม 6-1 ช่วยให้ ลิเวอร์พูล ผ่านเข้ารอบรองชนะเลิศ ลีกคัพ ได้สำเร็จ[49] ต่อมา ในวันที่ 6 ธันวาคม ค.ศ. 2015 สเตอร์ริดจ์ มีปัญหาอาการบาดเจ็บที่แฮมสตริง ในนัดที่ ลิเวอร์พูล พ่ายแพ้ นิวคาสเซิลยูไนเต็ด 0-2 ทำให้ต้องพักยาว 2 เดือน ต่อมา ในวันที่ 14 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2016 สเตอร์ริดจ์กลับมาลงสนามอีกครั้ง โดยลงสนามเป็นตัวจริงและทำประตูที่ 3 ในพรีเมียร์ลีก ในนัดที่ ลิเวอร์พูล เอาชนะ แอสตันวิลลา ที่วิลลาพาร์ก 6-0[50] [51]

ในวันที่ 10 มีนาคม ค.ศ. 2016 ยูฟ่ายูโรปาลีก รอบ 16 ทีมสุดท้าย นัดแรก สเตอร์ริดจ์ ทำประตูแรกในยูฟ่ายูโรปาลีก ในนัดที่ ลิเวอร์พูล เปิดสนามแอนฟีลด์เอาชนะคู่ปรับตลอดกาล แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด 2-0[52] ต่อมา ในวันที่ 20 มีนาคม ค.ศ. 2016 สเตอร์ริดจ์ทำประตูที่ 4 ในพรีเมียร์ลีก ในนัดที่ ลิเวอร์พูล พ่ายแพ้ เซาแทมป์ตัน ที่เซนต์แมรีส์สเตเดียม 2-3[53] ต่อมา ในวันที่ 10 เมษายน ค.ศ. 2016 สเตอร์ริดจ์ทำประตูที่ 5 ในพรีเมียร์ลีก ในนัดที่ ลิเวอร์พูล เปิดสนามแอนฟีลด์เอาชนะ สโตกซิตี 4-1[54] ต่อมา ในวันที่ 17 เมษายน ค.ศ. 2016 สเตอร์ริดจ์ทำประตูที่ 6 ในพรีเมียร์ลีก ในนัดที่ ลิเวอร์พูล เอาชนะ บอร์นมัท 2-1[55] ต่อมา ในวันที่ 20 เมษายน ค.ศ. 2016 สเตอร์ริดจ์ทำประตูที่ 7 ในพรีเมียร์ลีก ในนัดที่ ลิเวอร์พูล เปิดสนามแอนฟีลด์เอาชนะ เอฟเวอร์ตัน 4-0[56] ทำให้ สเตอร์ริดจ์ ยิงประตูครบ 50 ประตูรวมทุกรายการ[57] ต่อมา ในวันที่ 23 เมษายน ค.ศ. 2016 สเตอร์ริดจ์ทำประตูที่ 8 ในพรีเมียร์ลีก ในนัดที่ ลิเวอร์พูล เปิดสนามแอนฟีลด์เสมอกับ นิวคาสเซิลยูไนเต็ด 2-2[58] ต่อมา ในวันที่ 5 พฤษภาคม ค.ศ. 2016 ยูฟ่ายูโรปาลีก รอบรองชนะเลิศ นัดที่สอง สเตอร์ริดจ์ ทำประตูที่ 2 ในยูฟ่ายูโรปาลีก ในนัดที่ ลิเวอร์พูล เปิดสนามแอนฟีลด์เอาชนะ บิยาร์เรอัล 3-0 รวมผลสองนัด ลิเวอร์พูล เอาชนะ บิยาร์เรอัล 3-1 ช่วยให้ ลิเวอร์พูล ผ่านเข้ารอบชิงชนะเลิศ ยูฟ่ายูโรปาลีกได้สำเร็จ[59] ต่อมา ในวันที่ 18 พฤษภาคม ค.ศ. 2016 ยูฟ่ายูโรปาลีก นัดชิงชนะเลิศ 2016 ลิเวอร์พูล เจอกับ เซบิยา จากสเปน ที่เซนต์ จาค็อบ-พาร์ค สเตอร์ริดจ์ทำประตูให้ ลิเวอร์พูล ขึ้นนำ 1-0 แต่สุดท้ายก็แพ้ไป 1-3 ทำให้ ลิเวอร์พูล พลาดโอกาสคว้าแชมป์ยูฟ่ายูโรปาลีก อย่างน่าเสียดาย[60]

ฤดูกาล 2016-17

ในวันที่ 23 สิงหาคม ค.ศ. 2016 อีเอฟแอลคัพ รอบ 2 สเตอร์ริดจ์ ยิง 2 ประตู ในนัดที่ ลิเวอร์พูล เอาชนะ เบอร์ตันอัลเบียน 5-0 ช่วยให้ ลิเวอร์พูล ผ่านเข้ารอบ 3 อีเอฟแอลคัพ ได้สำเร็จ[61] ต่อมา ในวันที่ 25 ตุลาคม ค.ศ. 2016 อีเอฟแอลคัพ รอบ 4 สเตอร์ริดจ์ ยิง 2 ประตู ในนัดที่ ลิเวอร์พูล เปิดสนามแอนฟีลด์เอาชนะ ทอตนัมฮอตสเปอร์ 2-1 ช่วยให้ ลิเวอร์พูล ผ่านเข้ารอบ 5 อีเอฟแอลคัพ ได้สำเร็จ[62] ต่อมา ในวันที่ 27 ธันวาคม ค.ศ. 2016 สเตอร์ริดจ์ทำประตูแรกในพรีเมียร์ลีก ฤดูกาล 2016–17 ในนัดที่ ลิเวอร์พูล เปิดสนามแอนฟีลด์เอาชนะ สโตกซิตี 4-1[63] ต่อมา ในวันที่ 2 มกราคม ค.ศ. 2017 สเตอร์ริดจ์ทำประตูที่ 2 ในพรีเมียร์ลีก ในนัดที่ ลิเวอร์พูล เสมอกับ ซันเดอร์แลนด์ ที่สเตเดียมออฟไลต์ 2-2[64] ต่อมา ในวันที่ 14 พฤษภาคม ค.ศ. 2017 สเตอร์ริดจ์ทำประตูที่ 3 ในพรีเมียร์ลีก ในนัดที่ ลิเวอร์พูล เอาชนะ เวสต์แฮมยูไนเต็ด ที่ลอนดอนสเตเดียม 4-0[65] จบฤดูกาล สเตอร์ริดจ์ยิงประตูในพรีเมียร์ลีก 3 ประตูจาก 20 นัด ช่วยให้ ลิเวอร์พูล จบอันดับที่ 4 และคว้าโควต้าแชมเปียนส์ลีก ในฤดูกาลหน้าได้สำเร็จ

ฤดูกาล 2017-18

ในวันที่ 27 สิงหาคม ค.ศ. 2017 สเตอร์ริดจ์ลงสนามเป็นตัวสำรองแทน ซาดีโย มาเน และทำประตูแรกในพรีเมียร์ลีก ฤดูกาล 2017–18 ในนัดที่ ลิเวอร์พูล เปิดสนามแอนฟีลด์เอาชนะ อาร์เซนอล 4-0[66] ต่อมา ในวันที่ 28 ตุลาคม ค.ศ. 2017 สเตอร์ริดจ์ทำประตูที่ 2 ในพรีเมียร์ลีก ในนัดที่ ลิเวอร์พูล เปิดสนามแอนฟีลด์เอาชนะ ฮัดเดอส์ฟีลด์ทาวน์ 3-0[67] ต่อมา ในวันที่ 1 พฤศจิกายน ค.ศ. 2017 ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก ฤดูกาล 2017–18 รอบแบ่งกลุ่ม กลุ่ม E สเตอร์ริดจ์ทำประตูแรกในยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก ในนัดที่ ลิเวอร์พูล เปิดสนามแอนฟีลด์เอาชนะ มารีบอร์ จากสโลวีเนีย 3-0[68]

เวสต์บรอมมิชอัลเบียน (ยืมตัว)

ในวันที่ 29 มกราคม ค.ศ. 2018 สเตอร์ริดจ์ย้ายมาอยู่กับเวสต์บรอมมิชอัลเบียนด้วยสัญญายืมตัวจนจบฤดูกาล สเตอร์ริดจ์ลงสนาม 6 นัด แต่ไม่สามารถช่วยให้เวสต์บรอมมิชอัลเบียนอยู่รอดตกชั้นได้

ฤดูกาล 2018-19

ในวันที่ 12 สิงหาคม ค.ศ. 2018 พรีเมียร์ลีก นัดเปิดฤดูกาล 2018–19 สเตอร์ริดจ์ลงสนามเป็นตัวสำรองแทน มุฮัมมัด เศาะลาห์ และทำประตูแรกในนัดที่ ลิเวอร์พูล เปิดสนามแอนฟีลด์เอาชนะ เวสต์แฮมยูไนเต็ด 4-0[69] ต่อมา ในวันที่ 18 กันยายน ค.ศ. 2018 ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก ฤดูกาล 2018–19 รอบแบ่งกลุ่ม กลุ่ม C สเตอร์ริดจ์ทำประตูแรกในยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก ฤดูกาล 2018–19 นัดที่ ลิเวอร์พูล เปิดสนามแอนฟีลด์เอาชนะ ปารีแซ็ง-แฌร์แม็ง จากฝรั่งเศส 3-2[70] ต่อมา ในวันที่ 26 กันยายน ค.ศ. 2018 อีเอฟแอลคัพ รอบ 3 สเตอร์ริดจ์ทำประตูให้ ลิเวอร์พูล ขึ้นนำ เชลซี 1-0 แต่สุดท้ายก็แพ้ไป 1-2 ทำให้ ลิเวอร์พูล ต้องตกรอบอีเอฟแอลคัพ ไปในที่สุด[71] ต่อมา ในวันที่ 29 กันยายน ค.ศ. 2018 สเตอร์ริดจ์ทำประตูในพรีเมียร์ลีกครบ 50 ประตูให้กับลิเวอร์พูล ในนัดที่ ลิเวอร์พูล เสมอกับ เชลซี ที่สแตมฟอร์ดบริดจ์ 1-1[72] และประตูนี้ของสเตอร์ริดจ์ทำให้ได้รับการโหวตเป็นประตูยอดเยี่ยมประจำเดือนกันยายนจากพรีเมียร์ลีก[73]

ในวันที่ 1 มิถุนายน ค.ศ. 2019 ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก นัดชิงชนะเลิศ 2019 ลิเวอร์พูล เจอกับ ทอตนัมฮอตสเปอร์ ที่วันดาเมโตรโปลิตาโน ในมาดริด, ประเทศสเปน สุดท้าย ลิเวอร์พูล เอาชนะ ทอตนัมฮอตสเปอร์ 2-0 ช่วยให้ ลิเวอร์พูล คว้าแชมป์ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก สมัยที่ 6 ได้สำเร็จ[74] ต่อมา ในวันที่ 4 มิถุนายน ค.ศ. 2019 สเตอร์ริดจ์จะออกจากสโมสรในซัมเมอร์นี้เมื่อสัญญาของเขาหมดลง

แหล่งที่มา

WikiPedia: แดเนียล_สเตอร์ริดจ์ http://thailand.liverpoolfc.com/news/latest-news/4... http://thailand.liverpoolfc.com/news/latest-news/5... http://thailand.liverpoolfc.com/news/latest-news/a... http://thailand.liverpoolfc.com/news/latest-news/a... http://thailand.liverpoolfc.com/news/latest-news/b... http://thailand.liverpoolfc.com/news/latest-news/g... http://thailand.liverpoolfc.com/news/latest-news/j... http://thailand.liverpoolfc.com/news/latest-news/l... http://thailand.liverpoolfc.com/news/latest-news/l... http://thailand.liverpoolfc.com/news/latest-news/l...