การพัฒนา ของ โปเกมอน_เรดและบลู

แนวคิดของเกมโปเกมอนเกิดจากงานอดิเรกสะสมแมลง กิจกรรมที่ผู้ออกแบบเกม ซาโตชิ ทาจิริ เคยชอบสะสมในเวลาว่างเมื่อครั้งเป็นเด็ก[29] เมื่อเติบโตขึ้น เขาสังเกตความเจริญในเมืองที่เขาอาศัยอยู่มากขึ้น และการสะสมแมลงเริ่มลดลง ทาจิริสังเกตว่าเด็ก ๆ มักเล่นในบ้านแทนนอกบ้าน และเกิดความคิดที่จะสร้างวิดีโอเกที่มีสิ่งมีชีวิตที่คล้ายแมลง เรียกว่า โปเกมอน เขาคิดว่าเด็ก ๆ จะผูกพันกับโปเกมอนได้โดยตั้งชื่อให้มัน และควบคุมมันเพื่อทดแทนความกลัวและความโกรธ เป็นการคลายเครียดในทางที่ดี อย่างไรก็ตามโปเกมอนจะไม่เลือดออกและไม่ตาย เพียงแค่หมดสติเท่านั้น แนวคิดนี้เป็นประเด็นที่ทาจิริจริงจังมาก เนื่องจากเขาไม่ต้องการให้โลกของเกมมี "ความรุนแรงที่ไร้ประโยชน์"[30]

เมื่อเกมบอยวางจำหน่าย ทาจิริคิดว่าระบบของเครื่องเหมาะสมกับสิ่งที่เขาคิดไว้ โดยเฉพาะลิงก์เคเบิล ซึ่งเขามองไว้ว่าจะให้ผู้เล่นแลกเปลี่ยนโปเกมอนกันได้ แนวคิดการแลกเปลี่ยนสารสนเทศเป็นสิ่งใหม่ในอุตสาหกรรมวิดีโอเกม เพราะก่อนหน้านี้ การเชื่อมต่อด้วยสายเคเบิลมีไว้แข่งขันกันเท่านั้น[31] "ผมจินตนาการถึงชุดสารสนเทศที่ส่งหากันได้ระหว่างเกมบอยสองเครื่องด้วยสายเคเบิลชนิดพิเศษ และผมร้องว้าว มันจะต้องมีบางอย่างเกิดขึ้นแน่" ทาจิริกล่าว[32] ทาจิริยังได้รับแรงบันดาลใจจากเกม เดอะไฟนอลแฟนตาซีเลเจนด์ ของบริษัทสแควร์ โดยเขากล่าวในบทสัมภาษณ์ว่าเกมให้แนวคิดกับเขาว่าไม่ใช่แค่เกมแอ็กชันที่สามารถพัฒนาขึ้นเพื่อเกมเครื่องมือถือได้[33]

ตัวละครหลักตั้งชื่อตามทาจิริเองว่า ซาโตชิ โดยเขาพรรณาให้เป็นตนเองในวัยรุ่น และตั้งอีกชื่อหนึ่งตามเพื่อนสนิท ต้นแบบ ที่ปรึกษา และนักพัฒนาของนินเท็นโด ชิเงรุ มิยาโมโตะ ให้ชื่อตัวละครนั้นว่า ชิเงรุ[30][34] เค็น ซุงิโมริ ศิลปินและเพื่อนของทาจิริพัฒนาภาพวาดและแบบของโปเกมอน โดยทำงานกับทีมงานน้อยกว่าสิบคนเพื่อออกแบบโปเกมอนทั้งหมด 151 ตัว ซุงิโมริตรวจสอบแบบครั้งสุดท้าย และวาดโปเกมอนออกมาในหลายมุมเพื่อช่วยให้ฝ่ายกราฟิกเรนเดอร์โปเกมอนให้[35][36] ดนตรีในเกมแต่งโดยจุนิชิ มาสุดะ โดยเขาใช้ประโยชน์จากช่องเสียงสี่ช่องของเกมบอยในการสร้างทำนองและเสียงประกอบ และ "เสียงร้อง" ของโปเกมอนที่จะได้ยินเมื่อเผชิญหน้ากับมัน เขากล่าวว่าชื่อฉากเปิดเกมคือ "มอนสเตอร์" ผลิตด้วยภาพฉากต่อสู้ที่มาจากความคิด ใช้สัญญาณรบกวนสีขาวเพื่อให้ฟังคล้ายดนตรีสวนสนามและเลียนแบบเสียงกลองเล็ก[37]

ทีแรกเกมมีชื่อว่า แคปซูลมอนสเตอส์ (Capsule Monsters) และเนื่องจากความลำบากเรื่องเครื่องหมายการค้า เมื่อชื่อเกมผ่านการซื้อขายหลายธุรกรรมมาก ทำให้ชื่อกลายเป็นคาปูมอน (CapuMon และ KapuMon) ก่อนจะได้ชื่อเป็นพ็อกเก็ตมอนสเตอร์ส (Pocket Monsters)[38][39] ทาจิริมักคิดเสมอว่านินเท็นโดจะปฏิเสธเกมของเขา เนื่องจากบริษัทยังไม่เข้าใจแนวคิดของเกมอย่างแท้จริงตั้งแต่แรก อย่างไรก็ตาม เกมกลายเป็นความสำเร็จอย่างสมบูรณ์ เป็นสิ่งที่ทาจิริและนินเท็นโดไม่เคยคาดคิด เพราะขณะนั้นความนิยมของเกมบอยเริ่มลดลงแล้ว[30] เมื่อได้ยินแนวคิดเกมโปเกมอน มิยาโมโตะแนะว่าให้ทำให้โปเกมอนแต่ละตลับมีโปเกมอนไม่เหมือนกัน เพื่อที่จะช่วยให้เกิดการแลกเปลี่ยนโปเกมอนได้[40]

ในญี่ปุ่น พ็อกเก็ตมอนสเตอร์ส เรดและกรีน วางจำหน่ายเป็นภาคแรก เกมขายได้รวดเร็ว ส่วนหนึ่งมาจากความคิดของนินเท็นโดที่ให้ผลิตออกมาเป็นสองภาคย่อยแทนที่จะทำเป็นภาคเดียว เพื่อให้ผู้ซื้อซื้อทั้งสองภาค หลายเดือนต่อมา ภาคบลูวางจำหน่ายในญี่ปุ่นเป็นรุ่นพิเศษที่ให้สั่งซื้อทางจดหมายเท่านั้น[41] โดยได้เพิ่มเติมงานศิลป์ในเกมและบทพูดใหม่ ๆ[42] ทาจิริเปิดเผยโปเกมอนพิเศษชื่อ มิว ที่ซ่อนไว้ในเกมเพื่อสร้างความตื่นเต้นและความท้าทายให้กับเกม โดยเขาเชื่อว่า "สร้างข่าวลือและตำนานให้กับเกม" และ "ทำให้ความน่าสนใจในเกมยังคงอยู่"[30] ชิเงกิ โมริโมโตะเพิ่มมิวลงในเกมเพื่อเป็นเรื่องล้อเล่นภายในและไม่ตั้งใจจะเปิดเผยสู่ลูกค้า[43] ต่อมา นินเท็นโดตัดสินใจแจกมิวผ่านกิจกรรมส่งเสริมกิจกรรมหนึ่งของนินเท็นโด จนกระทั่งในปี ค.ศ. 2003 มีกลิตช์อันหนึ่งที่คนทั่วไปรู้จัก และใครก็ตามสามารถใช้กลิตช์นี้เพื่อให้ได้มิวมา[44]

ในช่วงปรับวิดีโอเกมให้เข้ากับลูกค้าในทวีปอเมริกาเหนือ ทีมเล็ก ๆ ทีมหนึ่งนำโดยฮิโระ นะกะมุระ ลงรายละเอียดที่โปเกมอนแต่ละตัว และเปลี่ยนชื่อโปเกมอนให้กับลูกค้าฝั่งตะวันตกตามลักษณะรูปร่างและลักษณะพิเศษหลังจากนินเท็นโดอนุมัติ โดยในระหว่างนั้น นินเท็นโดทำเครื่องหมายการค้าชื่อโปเกมอนทั้งหมด 151 ตัวเพื่อให้มั่นใจว่าเป็นเอกลักษณ์กับแฟรนไชส์[45] ในระหว่างการแปลชื่อนั้นพบชัดเจนว่า การเปลี่ยนข้อความภาษาญี่ปุ่นเป็นภาษาอังกฤษง่าย ๆ นั้นเป็นไปไม่ได้ เกมจะต้องโปรแกรมใหม่ตั้งแต่ต้นเนื่องจากรหัสต้นฉบับมีสถานะที่ไม่เสถียร เป็นผลข้างเคียงจากการพัฒนาที่ยาวนานผิดปกติ[36] ดังนั้น เกมจึงยึดตามภาคบลูภาษาญี่ปุ่นที่เป็นรุ่นใหม่กว่า โดยออกแบบโปรแกรมและงานศิลป์ใหม่ แต่ใช้โปเกมอนชุดเดิมกับตลับเกมภาคเรดและกรีนภาษาญี่ปุ่น ตามลำดับ[41]

ขณะที่ภาคเรดและบลูที่เสร็จสมบูรณ์แล้วกำลังเตรียมตัววางจำหน่าย นินเท็นโดจ่ายเงินมากกว่า 50 ล้านดอลลาร์เพื่อส่งเสริมเกม เกรงว่าเกมชุดนี้จะไม่ดึงดูดเด็ก ๆ ชาวอเมริกัน[46] ทีมที่ปรับเกมให้เข้ากับชาวตะวันตกเตือนว่า "สัตว์ประหลาดที่น่ารัก" อาจไม่เป็นที่ยอมรับจากลูกค้าชาวอเมริกัน และแนะนำให้ออกแบบใหม่และ "เสริมความแข็งแกร่ง" ให้โปเกมอนแทน ฮิโระชิ ยะมะอุชิ ประธานบริษัทนินเท็นโดในขณะนั้นปฏิเสธและมองว่าการตอบรับของชาวอเมริกันเป็นสิ่งที่น่าท้าทายที่ต้องเผชิญ[47] แม้จะมีอุปสรรคเช่นนี้ ในที่สุด ภาคเรดและบลูที่ปรับโปรแกรมใหม่โดยการออกแบบโปเกมอนใหม่ได้วางจำหน่ายในอเมริกาเหนือ หลังภาคเรดและกรีนวางจำหน่ายในประเทศญี่ปุ่นเป็นเวลาสองปีครึ่ง[48] เกมได้รับการตอบรับอย่างดีมากจากลูกค้าต่างชาติและโปเกมอนได้กลายเป็นแฟรนไชส์ที่ทำกำไรได้ดีในอเมริกา[47]

ดนตรี

จุนอิจิ มาสึดะ แต่งดนตรีประกอบที่บ้านของตน[49] ด้วยคอมพิวเตอร์รุ่นคอมโมดอร์ อามิกา ที่มีเพลย์แบ็กแบบการกล้ำรหัสของพัลส์ และแปลงเข้ากับเกมบอยด้วยโปรแกรมที่เขาเขียนเอง[50]

ใกล้เคียง

โปเกมอน โปเกมอน (ชุดวิดีโอเกม) โปเกมอน (อนิเมะ) โปเกมอน เรด และ กรีน โปเกมอน โกลด์ และ ซิลเวอร์ โปเกมอน ซอร์ด และ ชิลด์ โปเกมอน มาสเตอส์ โปเกมอน สเปเชียล โปเกมอน เทรดดิงการ์ดเกม โปเกมอนช็อก

แหล่งที่มา

WikiPedia: โปเกมอน_เรดและบลู http://www.nintendo.com.au/gbc/faqs/index.php http://www.1up.com/do/feature?cId=3167655 http://allgame.com/game.php?id=14222&tab=review http://igo.ampednews.com/features/182/2/ http://news.cnet.com/8301-1023_3-57619740-93/twitc... http://www.engadget.com/2016/02/26/pokemon-sun-and... http://www.famitsu.com/cominy/?m=pc&a=page_h_title... http://www.gamasutra.com/view/feature/3979/the_art... http://www.gameinformer.com/b/features/archive/201... http://www.gameinformer.com/b/features/archive/201...