โรคหัด (
อังกฤษ: measles) เป็นโรคติดเชื้อชนิดหนึ่งที่ติดต่อกันได้ง่ายมาก เกิดจากเชื้อ
ไวรัสหัด[3][9] ในระยะแรกผู้ป่วยจะมี
ไข้ ซึ่งมักเป็นไข้สูง (>40 องศาเซลเซียส)
ไอ น้ำมูกไหลจาก
เยื่อจมูกอักเสบ และ
ตาแดงจาก
เยื่อตาอักเสบ[3][4] ในวันที่ 2-3 จะเริ่มมีจุดสีขาวขึ้นในปาก เรียกว่า
จุดของคอปลิก[4] จากนั้นในวันที่ 3-5 จะเริ่มมีผื่นเป็นผื่นแดงแบน เริ่มขึ้นที่ใบหน้า จากนั้นจึงลามไปทั่วตัว
[4] อาการมักเริ่มเป็น 10-12 หลังจากรับเชื้อ และมักเป็นอยู่ 7-10 วัน
[6][7]สามารถพบภาวะแทรกซ้อนได้ราว 30% ซึ่งภาวะแทรกซ้อนเหล่านี้ได้แก่
ท้องร่วง ตาบอด สมองอักเสบ ปอดอักเสบ และอื่น ๆ
[6][10] โรคนี้เป็นคนละโรคกับ
โรคหัดเยอรมันและ
หัดกุหลาบ[11]โรคหัด
ติดต่อทางอากาศ เชื้อหัดจะออกมาพร้อมกับการไอและ
การจามของผู้ป่วย
[6] นอกจากนี้ยังอาจติดต่อผ่านการสัมผัสน้ำลายหรือน้ำมูกของผู้ป่วยได้ด้วย
[6] หากมีผู้ที่ไม่มีภูมิคุ้มกันและอยู่ในที่เดียวกันกับผู้ติดเชื้อ จะเกิดการติดเชื้อถึงเก้าในสิบ
[10] ผู้ติดเชื้อจะสามารถแพร่เชื้อให้คนอื่นได้ตั้งแต่ 4 วันก่อนมีอาการ ไปจนถึง 4 วัน หลังเริ่มมีผื่น.
[10] ส่วนใหญ่เมื่อเป็นแล้วจะไม่เป็นอีก
[6] การตรวจหาเชื้อไวรัสในผู้ป่วยรายที่สงสัย จะมีประโยชน์ในการควบคุมโรค
[10]วัคซีนโรคหัดสามารถป้องกันการติดเชื้อได้เป็นอย่างดี
[6] ผลจาก
การใช้วัคซีนนี้ทำให้จำนวนผู้เสียชีวิตจากโรคหัดลดลงถึง 75% ในช่วง ค.ศ. 2000-2013 ซึ่งเด็กทั่วโลกถึง 85% ได้รับวัคซีนนี้
[6] ปัจจุบันยังไม่มีการรักษาแบบจำเพาะ มีแต่เพียงการใช้การรักษาบรรเทาอาการเท่านั้น
[6] เช่น
การให้สารน้ำชดเชยทางปาก กินอาหารที่มีประโยชน์ และใช้
ยาลดไข้[6][7] อาจต้องใช้
ยาปฏิชีวนะก็ต่อเมื่อมี
การติดเชื้อแบคทีเรียแทรกซ้อน เช่น เป็น
ปอดอักเสบ[6] ใน
กลุ่มประเทศกำลังพัฒนาที่ผู้ป่วยอาจ
ขาดสารอาหาร การให้
วิตามินเอก็เป็นที่แนะนำ
[6]ในแต่ละปีจะมีผู้ป่วยโรคหัดประมาณ 20 ล้านคน
[3] ส่วนใหญ่อยู่ในพื้นที่กำลังพัฒนาของทวีปแอฟริกาและทวีปเอเชีย
[6] โรคนี้เป็น
โรคที่ป้องกันได้ด้วยวัคซีนที่เป็นสาเหตุการเสียชีวิตจำนวนมากที่สุดในโลก
[12] เมื่อ ค.ศ. 1980 มีคนเสียชีวิตจากโรคหัดถึง 2.6 ล้านคน
[6] และลดเหลือ 545,000 คนใน ค.ศ. 1990 และ 73,000 ใน ค.ศ. 2014
[8][13] ผู้ป่วยที่เสียชีวิตส่วนใหญ่อายุน้อยกว่า 5 ปี
[6] อัตราการเสียชีวิตโดยรวมอยู่ที่ 0.2%
[10] แต่อาจสูงได้ถึง 10% ในผู้ที่ขาดสารอาหาร
[6] ปัจจุบันยังเชื่อว่าโรคนี้ไม่ติดไปยังสัตว์อื่น
[6] ในประเทศสหรัฐอเมริกาก่อนมีการใช้วัคซีนจะมีผู้ป่วยโรคหัดประมาณปีละ 3-4 ล้านคน
[10] ซึ่งหลังจากมีการใช้วัคซีนอย่างกว้างขวาง โรคหัดก็ถูกกำจัดหมดไปจากอเมริกาเมื่อ ค.ศ. 2016
[14]