สโมสรอาชีพ ของ โรแบร์ตู_ฟีร์มีนู

ฟีเกย์เร็งซี

ส่วนนี้รอเพิ่มเติมข้อมูล คุณสามารถช่วยเพิ่มข้อมูลส่วนนี้ได้

1899 ฮ็อฟเฟินไฮม์

ส่วนนี้รอเพิ่มเติมข้อมูล คุณสามารถช่วยเพิ่มข้อมูลส่วนนี้ได้

ลิเวอร์พูล

ฤดูกาล 2015-16

ในวันที่ 23 มิถุนายน ค.ศ. 2015 ฟีร์มีนูติดทีมชาติบราซิลชุดลุยศึกโกปาอาเมริกา 2015 สโมสรลิเวอร์พูลบรรลุข้อตกลงในการคว้าตัวฟีร์มีนูจากฮ็อฟเฟินไฮม์ด้วยค่าตัว 29 ล้านปอนด์ หรือประมาณ 1,450 ล้านบาท พร้อมค่าเหนื่อยกว่า 1 แสนปอนด์ หรือประมาณ 5 ล้านบาทต่อสัปดาห์

ในวันที่ 9 สิงหาคม ค.ศ. 2015 ฟีร์มีนูลงเล่นให้กับ ลิเวอร์พูล เป็นนัดแรกโดยลงสนามเป็นตัวสำรองแทน จอร์ดอน ไอบ์ ในนัดที่ ลิเวอร์พูล เอาชนะ สโตกซิตี ที่บริแทนเนียสเตเดียม 1-0 ต่อมา ในวันที่ 21 พฤศจิกายน ค.ศ. 2015 ฟีร์มีนูลงเล่นเป็นกองหน้าตัวเป้าและทำประตูแรกในสีเสื้อของลิเวอร์พูล ในนัดที่ลิเวอร์พูลเอาชนะแมนเชสเตอร์ซิตีที่เอติฮัดสเตเดียม 4-1[1] [2] ต่อมาในวันที่ 13 มกราคม ค.ศ. 2016 ฟีร์มีนูยิง 2 ประตูให้ลิเวอร์พูล เปิดสนามแอนฟีลด์เสมอกับอาร์เซนอล 3-3[3] ต่อมาในวันที่ 23 มกราคม ค.ศ. 2016 ฟีร์มีนูยิง 2 ประตูให้ลิเวอร์พูลเอาชนะนอริชซิตีที่แคร์โรว์โรด 5-4[4] [5] ต่อมาในวันที่ 6 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2016 ฟีร์มีนูทำประตูที่ 6 ในพรีเมียร์ลีก ในนัดที่ ลิเวอร์พูล เปิดสนามแอนฟีลด์เสมอกับ ซันเดอร์แลนด์ 2-2[6] ต่อมา ในวันที่ 2 มีนาคม ค.ศ. 2016 ฟีร์มีนูทำประตูที่ 7 ในพรีเมียร์ลีก ในนัดที่ ลิเวอร์พูล เปิดสนามแอนฟีลด์เอาชนะ แมนเชสเตอร์ซิตี 3-0[7] ต่อมา ในวันที่ 6 มีนาคม ค.ศ. 2016 ฟีร์มีนู ทำประตูที่ 8 ในพรีเมียร์ลีก ในนัดที่ ลิเวอร์พูล เอาชนะ คริสตัลพาเลซ ที่เซลเฮิสต์พาร์ก 2-1[8] ต่อมา ในวันที่ 10 มีนาคม ค.ศ. 2016 ยูฟ่ายูโรปาลีก รอบ 16 ทีมสุดท้าย นัดแรก ฟีร์มีนู ทำประตูแรกในยูฟ่ายูโรปาลีก ฤดูกาล 2015–16 ในนัดที่ ลิเวอร์พูล เปิดสนามแอนฟีลด์เอาชนะคู่ปรับตลอดกาล แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด 2-0[9] ต่อมา ในวันที่ 17 เมษายน ค.ศ. 2016 ฟีร์มีนู ทำประตูที่ 9 ในพรีเมียร์ลีก ในนัดที่ ลิเวอร์พูล เอาชนะ บอร์นมัท ที่วิตาลิตี้ สเตเดียม 2-1[10] ต่อมา ในวันที่ 8 พฤษภาคม ค.ศ. 2016 ฟีร์มีนู ทำประตูที่ 10 ในพรีเมียร์ลีก ในนัดที่ ลิเวอร์พูล เปิดสนามแอนฟีลด์เอาชนะ วอตฟอร์ด 2-0[11]

ฤดูกาล 2016-17

ฟีร์มีนูลงเล่นให้กับลิเวอร์พูล ในปี ค.ศ. 2017

ในวันที่ 23 สิงหาคม ค.ศ. 2016 อีเอฟแอลคัพ รอบ 2 ฟีร์มีนู ทำประตูแรกในฤดูกาล 2016-17 ในนัดที่ ลิเวอร์พูล เอาชนะ เบอร์ตันอัลเบียน 5-0 ช่วยให้ ลิเวอร์พูล ผ่านเข้ารอบ 3 อีเอฟแอลคัพ ได้สำเร็จ[12] ต่อมา ในวันที่ 10 กันยายน ค.ศ. 2016 ฟีร์มีนูยิง 2 ประตูให้ลิเวอร์พูล เปิดสนามแอนฟีลด์เอาชนะ เลสเตอร์ซิตี 4-1[13] ต่อมา ในวันที่ 1 ตุลาคม ค.ศ. 2016 ฟีร์มีนูทำประตูที่ 3 ในพรีเมียร์ลีก ในนัดที่ ลิเวอร์พูล เอาชนะ สวอนซีซิตี ที่ลิเบอร์ตีสเตเดียม 2-1[14] ต่อมา ในวันที่ 29 ตุลาคม ค.ศ. 2016 ฟีร์มีนูทำประตูที่ 4 ในพรีเมียร์ลีก ในนัดที่ ลิเวอร์พูล เอาชนะ คริสตัลพาเลซ ที่เซลเฮิสต์พาร์ก 4-2[15] ต่อมา ในวันที่ 6 พฤศจิกายน ค.ศ. 2016 ฟีร์มีนูทำประตูที่ 5 ในพรีเมียร์ลีก ในนัดที่ ลิเวอร์พูล เปิดสนามแอนฟีลด์เอาชนะ วอตฟอร์ด 6-1[16] ต่อมา ในวันที่ 27 ธันวาคม ค.ศ. 2016 ฟีร์มีนูทำประตูที่ 6 ในพรีเมียร์ลีก ในนัดที่ ลิเวอร์พูล เปิดสนามแอนฟีลด์เอาชนะ สโตกซิตี 4-1[17]

ในวันที่ 21 มกราคม ค.ศ. 2017 ฟีร์มีนูยิง 2 ประตู ในนัดที่ ลิเวอร์พูล เปิดสนามแอนฟีลด์พ่ายแพ้ สวอนซีซิตี 2-3[18] ต่อมา ในวันที่ 4 มีนาคม ค.ศ. 2017 ฟีร์มีนูทำประตูที่ 9 ใน พรีเมียร์ลีก ในนัดที่ ลิเวอร์พูล เปิดสนามแอนฟีลด์เอาชนะ อาร์เซนอล 3-1[19] ต่อมา ในวันที่ 8 เมษายน ค.ศ. 2017 ฟีร์มีนูทำประตูที่ 10 ในพรีเมียร์ลีก ในนัดที่ ลิเวอร์พูล เอาชนะ สโตกซิตี ที่บริแทนเนียสเตเดียม 2-1[20] ต่อมา ในวันที่ 16 เมษายน ค.ศ. 2017 ฟีร์มีนูทำประตูที่ 11 ในพรีเมียร์ลีก ในนัดที่ ลิเวอร์พูล เอาชนะ เวสต์บรอมมิชอัลเบียน ที่เดอะฮอว์ทอนส์ 1-0[21] จบฤดูกาล ฟีร์มีนูยิงประตูในพรีเมียร์ลีก 11 ประตูจาก 35 นัด ช่วยให้ ลิเวอร์พูล จบอันดับที่ 4 และคว้าโควต้าแชมเปียนส์ลีก ในฤดูกาลหน้าได้สำเร็จ

ฤดูกาล 2017-18

ก่อนจะเริ่มฤดูกาล 2017-18 ฟีร์มีนูเปลี่ยนสวมเสื้อหมายเลข 9 แทนหมายเลข 11 ที่มอบให้กับ โมฮัมเหม็ด ซาลาห์ นักเตะใหม่ที่ย้ายจากโรมามาอยู่กับลิเวอร์พูล ต่อมา ในวันที่ 12 สิงหาคม ค.ศ. 2017 พรีเมียร์ลีก นัดเปิดฤดูกาล 2017–18 ฟีร์มีนูทำประตูแรกในพรีเมียร์ลีกด้วยลูกจุดโทษ ในนัดที่ ลิเวอร์พูล เสมอกับ วอตฟอร์ด ที่วิคาริจโรด 3-3[22] ต่อมา ในวันที่ 23 สิงหาคม ค.ศ. 2017 ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก ฤดูกาล 2017–18 รอบเพลย์ออฟ นัดที่ 2 ฟีร์มีนูทำประตูแรกในยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก ในนัดที่ ลิเวอร์พูล เปิดสนามแอนฟีลด์เอาชนะทีมเก่าของเขา ฮ็อฟเฟินไฮม์ จากเยอรมัน 4-2 รวมผลสองนัด ลิเวอร์พูล เอาชนะ ฮ็อฟเฟินไฮม์ 6-3 ช่วยให้ ลิเวอร์พูล ผ่านเข้ารอบแบ่งกลุ่ม ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีกได้สำเร็จ[23] ต่อมา ในวันที่ 27 สิงหาคม ค.ศ. 2017 ฟีร์มีนูทำประตูที่ 2 ในพรีเมียร์ลีก ในนัดที่ ลิเวอร์พูล เปิดสนามแอนฟีลด์เอาชนะ อาร์เซนอล 4-0[24] ต่อมา ในวันที่ 13 กันยายน ค.ศ. 2017 ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก ฤดูกาล 2017–18 รอบแบ่งกลุ่ม กลุ่ม E ฟีร์มีนูทำประตูตีเสมอ 1-1 ก่อนที่เขายิงจุดโทษพลาด ในนัดที่ ลิเวอร์พูล เปิดสนามแอนฟีลด์เสมอกับ เซบิยา จากสเปน 2-2[25] ต่อมา ในวันที่ 17 ตุลาคม ค.ศ. 2017 ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก ฤดูกาล 2017–18 รอบแบ่งกลุ่ม กลุ่ม E ฟีร์มีนูยิง 2 ประตู ในนัดที่ ลิเวอร์พูล เอาชนะ มารีบอร์ จากสโลวีเนีย 7-0[26] ทำให้ ลิเวอร์พูลสร้างสถิติใหม่ด้วยการเป็นทีมจากอังกฤษที่เอาชนะนอกบ้านในเกมยุโรปด้วยสกอร์ที่มากที่สุด[27] ต่อมา ในวันที่ 28 ตุลาคม ค.ศ. 2017 ฟีร์มีนูทำประตูที่ 3 ในพรีเมียร์ลีก ในนัดที่ ลิเวอร์พูล เปิดสนามแอนฟีลด์เอาชนะ ฮัดเดอส์ฟีลด์ทาวน์ 3-0[28] ต่อมา ในวันที่ 21 พฤศจิกายน ค.ศ. 2017 ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก ฤดูกาล 2017–18 รอบแบ่งกลุ่ม กลุ่ม E ฟีร์มีนูยิง 2 ประตู ในนัดที่ ลิเวอร์พูล เสมอกับ เซบิยา จากสเปน 3-3[29] ต่อมา ในวันที่ 2 ธันวาคม ค.ศ. 2017 ฟีร์มีนูยิง 2 ประตู ในนัดที่ ลิเวอร์พูล เอาชนะ ไบรตันแอนด์โฮฟอัลเบียน ที่สนามกีฬาอเมริกันเอ็กซ์เพรสคอมมูนิตี 5-1[30] ต่อมา ในวันที่ 6 ธันวาคม ค.ศ. 2017 ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก ฤดูกาล 2017–18 รอบแบ่งกลุ่ม กลุ่ม E นัดสุดท้าย ลิเวอร์พูล ชนะก็จะเข้ารอบ 16 ทีมสุดท้ายในฐานะแชมป์กลุ่ม ฟีร์มีนูทำประตูที่ 7 ในยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก ในนัดที่ ลิเวอร์พูล เปิดสนามแอนฟีลด์เอาชนะ สปาร์ตัคมอสโก จากรัสเซีย 7-0 ช่วยให้ ลิเวอร์พูล ผ่านเข้ารอบ 16 ทีมสุดท้าย ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก ในฐานะแชมป์กลุ่มได้สำเร็จ[31] ต่อมา ในวันที่ 17 ธันวาคม ค.ศ. 2017 ฟีร์มีนูทำประตูที่ 6 ในพรีเมียร์ลีก ในนัดที่ ลิเวอร์พูล เอาชนะ บอร์นมัท ที่วิตาลิตี้ สเตเดียม 4-0[32] ต่อมา ในวันที่ 22 ธันวาคม ค.ศ. 2017 ฟีร์มีนูทำประตูที่ 7 ในพรีเมียร์ลีก ในนัดที่ ลิเวอร์พูล เสมอกับ อาร์เซนอล ที่เอมิเรตส์สเตเดียม 3-3[33] ต่อมา ในวันที่ 26 ธันวาคม ค.ศ. 2017 ฟีร์มีนูยิง 2 ประตู ในนัดที่ ลิเวอร์พูล เปิดสนามแอนฟีลด์เอาชนะ สวอนซีซิตี 5-0[34]

ในวันที่ 14 มกราคม ค.ศ. 2018 ฟีร์มีนูทำประตูที่ 10 ในพรีเมียร์ลีก ในนัดที่ ลิเวอร์พูล เปิดสนามแอนฟีลด์เอาชนะ แมนเชสเตอร์ซิตี 4-3[35] ต่อมา ในวันที่ 27 มกราคม ค.ศ. 2018 เอฟเอคัพ รอบสี่ ฟีร์มีนูยิงประตูให้ ลิเวอร์พูล ขึ้นนำ เวสต์บรอมมิชอัลเบียน 1-0 แต่สุดท้ายเขายิงจุดโทษพลาดก็แพ้ไป 2-3 ทำให้ ลิเวอร์พูล ต้องตกรอบ เอฟเอคัพ ไปในที่สุด[36] ต่อมา ในวันที่ 30 มกราคม ค.ศ. 2018 ฟีร์มีนูทำประตูที่ 11 ในพรีเมียร์ลีก ในนัดที่ ลิเวอร์พูล เอาชนะ ฮัดเดอส์ฟีลด์ทาวน์ ที่สนามกีฬาจอห์นสมิท 3-0[37] ต่อมา ในวันที่ 11 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2018 ฟีร์มีนูทำประตูที่ 12 ในพรีเมียร์ลีก ในนัดที่ ลิเวอร์พูล เอาชนะ เซาแทมป์ตัน ที่เซนต์แมรีส์สเตเดียม 2-0[38] ต่อมา ในวันที่ 14 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2018 ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก รอบ 16 ทีมสุดท้าย นัดแรก ฟีร์มีนูทำประตูที่ 8 ในยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก ในนัดที่ ลิเวอร์พูล เอาชนะ โปร์ตู จากโปรตุเกส 5-0 ต่อมา ในวันที่ 24 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2018 ฟีร์มีนูทำประตูที่ 13 ในพรีเมียร์ลีก ในนัดที่ ลิเวอร์พูล เปิดสนามแอนฟีลด์เอาชนะ เวสต์แฮมยูไนเต็ด 4-1[39] ต่อมา ในวันที่ 17 มีนาคม ค.ศ. 2018 ฟีร์มีนูทำประตูที่ 14 ในพรีเมียร์ลีก ในนัดที่ ลิเวอร์พูล เปิดสนามแอนฟีลด์เอาชนะ วอตฟอร์ด 5-0[40] ต่อมา ในวันที่ 10 เมษายน ค.ศ. 2018 ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก รอบ 8 ทีมสุดท้าย นัดที่ 2 ฟีร์มีนูทำประตูที่ 9 ในยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก ในนัดที่ ลิเวอร์พูล เอาชนะ แมนเชสเตอร์ซิตี ที่เอติฮัดสเตเดียม 2-1 รวมผลสองนัด ลิเวอร์พูล เอาชนะ แมนเชสเตอร์ซิตี 5-1 ช่วยให้ ลิเวอร์พูล ผ่านเข้ารอบรองชนะเลิศ ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีกได้สำเร็จ[41] ต่อมา ในวันที่ 14 เมษายน ค.ศ. 2018 ฟีร์มีนูทำประตูที่ 15 ในพรีเมียร์ลีก ในนัดที่ ลิเวอร์พูล เปิดสนามแอนฟีลด์เอาชนะ บอร์นมัท 3-0[42] ต่อมา ในวันที่ 24 เมษายน ค.ศ. 2018 ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก รอบรองชนะเลิศ นัดแรก ฟีร์มีนูยิง 2 ประตู ในนัดที่ ลิเวอร์พูล เปิดสนามแอนฟีลด์เอาชนะ โรมา จากอิตาลี 5-2[43]

ในวันที่ 29 เมษายน ค.ศ. 2018 ฟีร์มีนูตัดสินใจต่อสัญญาระยะยาวกับสโมสรลิเวอร์พูล เป็นเวลา 5 ปี[44]

ฤดูกาล 2018-19

ในวันที่ 1 กันยายน ค.ศ. 2018 ฟีร์มีนูทำประตูแรกในพรีเมียร์ลีก ฤดูกาล 2018–19 นัดที่ ลิเวอร์พูล เอาชนะ เลสเตอร์ซิตี ที่คิงพาวเวอร์สเตเดียม 2-1[45] ต่อมา ในวันที่ 15 กันยายน ค.ศ. 2018 ฟีร์มีนูทำประตูที่ 2 ในพรีเมียร์ลีก ในนัดที่ ลิเวอร์พูล เอาชนะ ทอตนัมฮอตสเปอร์ ที่สนามกีฬาเวมบลีย์ 2-1[46] ต่อมา ในวันที่ 18 กันยายน ค.ศ. 2018 ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก ฤดูกาล 2018–19 รอบแบ่งกลุ่ม กลุ่ม C ฟีร์มีนูทำประตูแรกในยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก ฤดูกาล 2018–19 นัดที่ ลิเวอร์พูล เปิดสนามแอนฟีลด์เอาชนะ ปารีแซ็ง-แฌร์แม็ง จากฝรั่งเศส 3-2[47] ต่อมา ในวันที่ 24 ตุลาคม ค.ศ. 2018 ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก ฤดูกาล 2018–19 รอบแบ่งกลุ่ม กลุ่ม C ฟีร์มีนูทำประตูที่ 2 ในยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก ในนัดที่ ลิเวอร์พูล เปิดสนามแอนฟีลด์เอาชนะ เรดสตาร์ เบลเกรด จากเซอร์เบีย 4-0[48] ต่อมา ในวันที่ 24 พฤศจิกายน ค.ศ. 2018 ฟีร์มีนูทำประตูที่ 3 ในพรีเมียร์ลีก ในนัดที่ ลิเวอร์พูล เอาชนะ วอตฟอร์ด ที่วิคาริจโรด 3-0[49] ต่อมา ในวันที่ 5 ธันวาคม ค.ศ. 2018 ฟีร์มีนูทำประตูที่ 4 ในพรีเมียร์ลีก ในนัดที่ ลิเวอร์พูล เอาชนะ เบิร์นลีย์ ที่เทิร์ฟมัวร์ 3-1[50] ต่อมา ในวันที่ 29 ธันวาคม ค.ศ. 2018 ฟีร์มีนูทำแฮตทริกครั้งแรกของเขาให้กับ ลิเวอร์พูล ในนัดที่ ลิเวอร์พูล เปิดสนามแอนฟีลด์เอาชนะ อาร์เซนอล 5-1 ทำให้ ฟีร์มีนูเป็นนักเตะบราซิลที่ทำประตูรวมมากที่สุดในประวัติศาสตร์พรีเมียร์ลีก[51]

ในวันที่ 3 มกราคม ค.ศ. 2019 ฟีร์มีนูทำประตูที่ 8 ในพรีเมียร์ลีก ในนัดที่ ลิเวอร์พูล พ่ายแพ้ แมนเชสเตอร์ซิตี ที่เอติฮัดสเตเดียม 1-2[52] ต่อมา ในวันที่ 19 มกราคม ค.ศ. 2019 ฟีร์มีนูทำประตูที่ 9 ในพรีเมียร์ลีก ในนัดที่ ในนัดที่ ลิเวอร์พูล เปิดสนามแอนฟีลด์เอาชนะ คริสตัลพาเลซ 4-3[53] ต่อมา ในวันที่ 10 มีนาคม ค.ศ. 2019 ฟีร์มีนูยิง 2 ประตู ในนัดที่ ลิเวอร์พูล เปิดสนามแอนฟีลด์เอาชนะ เบิร์นลีย์ 4-2[54] ต่อมา ในวันที่ 31 มีนาคม ค.ศ. 2019 ฟีร์มีนูทำประตูที่ 12 ในพรีเมียร์ลีก ในนัดที่ ในนัดที่ ลิเวอร์พูล เปิดสนามแอนฟีลด์เอาชนะ ทอตนัมฮอตสเปอร์ 2-1[55] ต่อมา ในวันที่ 9 เมษายน ค.ศ. 2019 ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก รอบ 8 ทีมสุดท้าย นัดแรก ฟีร์มีนูทำประตูที่ 3 ในยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก ในนัดที่ ลิเวอร์พูล เปิดสนามแอนฟีลด์เอาชนะ โปร์ตู จากโปรตุเกส 2-0[56] ต่อมา ในวันที่ 17 เมษายน ค.ศ. 2019 ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก รอบ 8 ทีมสุดท้าย นัดที่ 2 ฟีร์มีนูทำประตูที่ 4 ในยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก ในนัดที่ ลิเวอร์พูล เอาชนะ โปร์ตู จากโปรตุเกส 4-1 รวมผลสองนัด ลิเวอร์พูล เอาชนะ โปร์ตู 6-1 ช่วยให้ ลิเวอร์พูล ผ่านเข้ารอบรองชนะเลิศ ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีกได้สำเร็จ[57] ต่อมา ในวันที่ 1 มิถุนายน ค.ศ. 2019 ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก นัดชิงชนะเลิศ 2019 ลิเวอร์พูล เจอกับ ทอตนัมฮอตสเปอร์ ที่วันดาเมโตรโปลิตาโน ในมาดริด, ประเทศสเปน สุดท้าย ลิเวอร์พูล เอาชนะ ทอตนัมฮอตสเปอร์ 2-0 ช่วยให้ ลิเวอร์พูล คว้าแชมป์ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก สมัยที่ 6 ได้สำเร็จ[58]

ฤดูกาล 2019-20

ในวันที่ 14 สิงหาคม ค.ศ. 2019 ยูฟ่าซูเปอร์คัพ 2019 ลิเวอร์พูล แชมป์ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก ฤดูกาล 2018–19 เจอกับ เชลซี แชมป์ยูฟ่ายูโรปาลีก ฤดูกาล 2018–19 ที่สนามโวดาโฟนพาร์ก, อิสตันบูล ประเทศตุรกี สุดท้าย ลิเวอร์พูล เอาชนะ เชลซี ในการดวลจุดโทษ 5-4 ช่วยให้ ลิเวอร์พูล คว้าแชมป์ยูฟ่าซูเปอร์คัพ สมัยที่ 4 ได้สำเร็จ[59] ต่อมา ในวันที่ 17 สิงหาคม ค.ศ. 2019 ฟีร์มีนูทำประตูแรกในพรีเมียร์ลีก ฤดูกาล 2019–20 นัดที่ ลิเวอร์พูล เอาชนะ เซาแทมป์ตัน ที่เซนต์แมรีส์สเตเดียม 2-1[60] ต่อมา ในวันที่ 31 สิงหาคม ค.ศ. 2019 ฟีร์มีนูทำประตูที่ 2 ในพรีเมียร์ลีก ในนัดที่ ลิเวอร์พูล เอาชนะ เบิร์นลีย์ ที่เทิร์ฟมัวร์ 3-0[61] ทำให้ ฟีร์มีนูเป็นนักเตะบราซิลคนแรกที่ทำประตูในพรีเมียร์ลีกครบ 50 ประตู ต่อมา ในวันที่ 22 กันยายน ค.ศ. 2019 ฟีร์มีนูทำประตูที่ 3 ในพรีเมียร์ลีก ในนัดที่ ลิเวอร์พูล เอาชนะ เชลซี ที่สแตมฟอร์ดบริดจ์ 2-1[62] ต่อมา ในวันที่ 23 พฤศจิกายน ค.ศ. 2019 ฟีร์มีนูทำประตูที่ 4 ในพรีเมียร์ลีก ในนัดที่ ลิเวอร์พูล เอาชนะ เอาชนะ คริสตัลพาเลซ ที่เซลเฮิสต์พาร์ก 2-1[63]

ในวันที่ 18 ธันวาคม ค.ศ. 2019 ฟุตบอลชิงแชมป์สโมสรโลก 2019 ฟีร์มีนูลงสนามเป็นตัวสำรองทำประตูชัย ในนัดที่ ลิเวอร์พูล เอาชนะ มอนเตร์เรย์ จากเม็กซิโก 2-1 ช่วยให้ ลิเวอร์พูล ผ่านเข้ารอบชิงชนะเลิศ ฟุตบอลชิงแชมป์สโมสรโลก ได้สำเร็จ[64] ต่อมา ในวันที่ 21 ธันวาคม ค.ศ. 2019 ฟุตบอลชิงแชมป์สโมสรโลก 2019 นัดชิงชนะเลิศ ลิเวอร์พูล เจอกับ ฟลาเม็งกู ตัวแทน คอนเมบอล ในฐานะแชมป์เก่าของ โกปาลิเบร์ตาโดเรส ที่สนามกีฬาแห่งชาติคาลิฟา ในโดฮา, ประเทศกาตาร์ ฟีร์มีนูลงสนามและทำประตูชัย สุดท้าย ลิเวอร์พูล เอาชนะ ฟลาเม็งกู ในช่วงต่อเวลาพิเศษ 1-0 ช่วยให้ ลิเวอร์พูล คว้าแชมป์ฟุตบอลชิงแชมป์สโมสรโลก สมัยแรกได้สำเร็จ[65] ต่อมา ในวันที่ 26 ธันวาคม ค.ศ. 2019 ฟีร์มีนูยิง 2 ประตู ในนัดที่ ลิเวอร์พูล เอาชนะ เลสเตอร์ซิตี ที่คิงเพาเวอร์สเตเดียม 4-0[66] ต่อมา ในวันที่ 11 มกราคม ค.ศ. 2020 ฟีร์มีนูทำประตูที่ 7 ในพรีเมียร์ลีก ในนัดที่ ลิเวอร์พูล เอาชนะ ทอตนัมฮอตสเปอร์ ที่สนามกีฬาทอตนัมฮอตสเปอร์ 1-0[67] ต่อมา ในวันที่ 23 มกราคม ค.ศ. 2020 ฟีร์มีนูทำประตูที่ 8 ในพรีเมียร์ลีก ในนัดที่ ลิเวอร์พูล เอาชนะ วูลฟ์แฮมตันวันเดอเรอส์ ที่สนามกีฬาโมลีนิวส์ 2-0[68] ต่อมา ในวันที่ 11 มีนาคม ค.ศ. 2020 ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก รอบ 16 ทีมสุดท้าย นัดที่ 2 ลิเวอร์พูล เปิดสนามแอนฟีลด์เจอกับ อัตเลติโกเดมาดริด จากสเปน โดยนัดแรก ลิเวอร์พูล ไปพ่ายแพ้ 0-1 ในนัดนี้ ลิเวอร์พูล จะต้องชนะ 2-0 ถึงจะผ่านเข้ารอบต่อไป โดย ฟีร์มีนูยิงประตูขึ้นนำ 2-0 แต่สุดท้าย ลิเวอร์พูล พ่ายแพ้ 2-3 รวมผลสองนัด ลิเวอร์พูล พ่ายแพ้ 2-4 ทำให้ ลิเวอร์พูล ต้องตกรอบไปในที่สุด

ในวันที่ 22 กรกฎาคม ค.ศ. 2020 ฟีร์มีนูทำประตูที่ 9 ในพรีเมียร์ลีก ในนัดที่ ลิเวอร์พูล เปิดสนามแอนฟีลด์เอาชนะ เชลซี 5-3[69] และฉลองแชมป์พรีเมียร์ลีก ฤดูกาล 2019–20 ที่แอนฟีลด์ส่งท้าย[70]

ฤดูกาล 2020-21

ในวันที่ 24 ตุลาคม ค.ศ. 2020 ฟีร์มีนูทำประตูแรกในพรีเมียร์ลีก ฤดูกาล 2020–21 นัดที่ ลิเวอร์พูล เปิดสนามแอนฟีลด์เอาชนะ เชฟฟีลด์ยูไนเต็ด 2-1[71] ต่อมา ในวันที่ 22 พฤศจิกายน ค.ศ. 2020 ฟีร์มีนูทำประตูที่ 2 ในพรีเมียร์ลีก ในนัดที่ ลิเวอร์พูล เปิดสนามแอนฟีลด์เอาชนะ เลสเตอร์ซิตี 3-0[72]

แหล่งที่มา

WikiPedia: โรแบร์ตู_ฟีร์มีนู http://www.bbc.com/sport/live/football/32036796 http://thailand.liverpoolfc.com/news/latest-news/a... http://thailand.liverpoolfc.com/news/latest-news/f... http://thailand.liverpoolfc.com/news/latest-news/f... http://thailand.liverpoolfc.com/news/latest-news/f... http://thailand.liverpoolfc.com/news/latest-news/f... http://thailand.liverpoolfc.com/news/latest-news/f... http://thailand.liverpoolfc.com/news/latest-news/f... http://thailand.liverpoolfc.com/news/latest-news/l... http://thailand.liverpoolfc.com/news/latest-news/l...