ประวัติศาสตร์ ของ โอซากะ

แทรกข้อความที่ไม่จัดรูปแบบที่นี่=== ยุคก่อนประวัติศาสตร์ถึงยุคโคะฟุง ===หลักฐานการตั้งถิ่นฐานในเขตโอซากะ คือ บริเวณแหล่งประวัติศาสตร์โมริโนะมิยะ (森の宮遺跡 Morinomiya iseki) มีการค้นพบสุสานหอยนางรมและโครงกระดูกมนุษย์ในสมัย 500-600 ปีก่อนคริสตกาล เชื่อกันว่า บริเวณที่ชื่ออูเอฮมมิยะในทุกวันนี้น่าจะเป็นคาบสมุทรและมีทะเลในแผ่นดินทางตะวันออก ในสมัยยาโยอิ มีการค้นพบการตั้งถิ่นฐานถาวรเป็นครั้งแรก ในบริเวณที่ราบของโอซากะ โดยยึดการปลูกข้าวเป็นอาชีพหลัก

ในยุคโคะฟุง โอซากะได้รับการพัฒนาเป็นท่าเรือเชื่อมต่อดินแดนทางตะวันตกของญี่ปุ่น มีการค้นพบสุสานที่บริเวณพื้นที่ราบของโอซากะจำนวนมาก เป็นหลักฐานของความมั่นคงทางการเมือง นำไปสู่การสร้างประเทศในเวลาต่อมา[1]

ยุคอาซูกะและยุคนาระ

ในปี พ.ศ. 1188 จักรพรรดิโคโตกุได้สร้างพระราชวังชื่อ นานิวะ นางาระ-โทโยซางิ ขึ้นที่โอซากะ[2] และได้เนรมิตให้พื้นที่แห่งนี้เป็นเมืองหลวง (กรุงนานิวะ) พื้นที่แห่งนี้ได้กลายเป็นเมืองใหม่ในสมัยนั้นและมีชื่อว่า นานิวะ และชื่อนี้ก็ยังมีการใช้กันในปัจจุบัน เป็นการเรียกชื่อใจกลางของโอซากะว่านานิวะ (浪速) และกร่อนมาเป็นนัมบะ (難波) ในทุกวันนี้แม้จะมีการย้ายเมืองหลวงไปที่อาซูกะ (ในจังหวัดนาระในปัจจุบัน) ในปี พ.ศ. 1198 นานิวะก็ยังเป็นศูนย์กลางการเชื่อมต่อทั้งทางบกและทางทะเลระหว่างยามาโตะ (จังหวัดนาระ) เกาหลี และ จีน[3]

ในปี พ.ศ. 1287 นานิวะได้กลายมาเป็นเมืองหลวงอีกครั้งหนึ่งตามคำสั่งของจักรพรรดิโชมุ แต่ได้เป็นเมืองหลวงถึงปี พ.ศ. 1288 ราชสำนักก็ย้ายกลับไปที่เฮโจ (ปัจจุบันคือนาระ) อีกครั้ง ในปลายยุคนาระ ท่าเรือจึงค่อย ๆ กลายเป็นที่พักอาศัยของชาวเดินเรือ แต่ยังคงมีความคึกคักตามบริเวณแม่น้ำ คลอง และเส้นทางการคมนาคมทางบกไปยังกรุงเฮอัง (ปัจจุบันคือเกียวโต) และเมืองอื่น ๆ

ยุคเฮอังถึงยุคเอโดะ

ในปี พ.ศ. 2039 มีการก่อตั้งศาสนาพุทธ นิกายโจโดชินชู โดยมีศูนย์กลางอยู่ที่อิชิยามะฮงกันจิ บนพื้นที่ส่วนหนึ่งของพระราชวังนานิวะ ไดเมียวโอดะ โนบูนางะ หนึ่งในสามผู้รวมประเทศญี่ปุ่นเริ่มโอบล้อมวัดในปี พ.ศ. 2113 หลังจากอีกสิบปี พระในวัดก็ยอมจำนน และวัดก็ถูกทำลายลงอย่างราบคาบ ไดเมียวโทโยโตมิ ฮิเดโยชิ จึงได้สร้างปราสาทโอซากะขึ้นแทนในที่แห่งนั้น

โอซากะเป็นพื้นที่เศรษฐกิจที่สำคัญของญี่ปุ่นมาอย่างยาวนาน[4] มีประชากรที่เป็นชนชั้นพ่อค้าในสัดส่วนที่สูง โดยในยุคเอโดะ (พ.ศ. 2146 - พ.ศ. 2410) โอซากะเติบโตไปเป็นเมืองใหญ่ของญี่ปุ่นและกลับมาเป็นเมืองท่าที่คึกคักอีกครั้ง วัฒนธรรมของโอซากะมีความเกี่ยวข้องกับภาพอูกิโยะ อันเป็นภาพวาดที่มีชื่อเสียงในยุคเอโดะ โดยในปี พ.ศ. 2323 โอซากะเป็นแหล่งวัฒนธรรม มีชื่อเสียงด้านการแสดงของโรงละครคาบูกิและละครหุ่นบุนรากุ

ในปี พ.ศ. 2380 โอชิโอะ เฮฮาจิโร ซามูไรชั้นผู้น้อย ได้นำกลุ่มชาวนาก่อการกบฏขึ้นเพื่อประท้วงผู้ปกครองเมืองที่เฉยเมยต่อคนจนและครอบครัวที่ตกต่ำในพื้นที่เหล่านี้ พื้นที่เมืองเกือบ 1 ใน 4 ถูกเผาทำลายจากการกบฏในครั้งนั้น ก่อนที่เจ้าหน้าที่จากโชกุนจะปราบกบฏลงได้ และโอชิโอะก็ตัดสินใจปลิดชีพตัวเองในเวลาต่อมา

รัฐบาลโชกุนเปิดให้โอซากะเป็นเมืองที่เปิดรับการค้ากับต่างประเทศเช่นเดียวกับเฮียวโงะ (ปัจจุบันคือโคเบะ) ในวันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2411 ก่อนการฟื้นฟูเมจิเพียงเล็กน้อย

โอซากะยุคใหม่

บริเวณเซนนิชิมะเอะ ในปี พ.ศ. 2459

กฤษฎีการัฐบาลได้ก่อตั้งโอซากะให้เป็นเมืองที่มีการปกครองพิเศษ ในฐานะเมืองอันตั้งขึ้นโดยข้อบังคับ ในปี พ.ศ. 2432[5] มีพื้นที่เริ่มต้น 15 ตารางกิโลเมตร คือบริเวณแขวงชูโอและแขวงนิชิในปัจจุบัน ต่อมา เมืองได้ขยายตัวจนมีพื้นที่ 222 ตารางกิโลเมตรอย่างในปัจจุบัน โอซากะเป็นศูนย์กลางทางอุตสาหกรรมอย่างชัดเจนในช่วงการพัฒนาเศรษฐกิจตามระบบทุนนิยมของญี่ปุ่น การเติบโตของอุตสาหกรรมนี้ทำให้ชาวเกาหลีหลายคนอพยพเข้ามาตั้งตัว ระบอบการปกครองจึงเป็นแบบผสมโดยให้ความสำคัญด้านการส่งเสริมอุตสาหกรรมและการพัฒนาเมืองไปสู่ความเจริญ อัตราการรู้หนังสือเพิ่มขึ้น และระบบการศึกษาขยายตัวอย่างรวดเร็ว เกิดเป็นกลุ่มชนชั้นกลางที่รู้หนังสือและมีความชื่นชอบในงานศิลปะ

แต่ในอีกมุมหนึ่งของการเจริญเติบโต โอซากะก็มีสลัม คนว่างงาน และคนจน เช่นเดียวกับในยุโรปและอเมริกา เทศบาลนครโอซากะจึงจัดตั้งระบบจ่ายเงินช่วยเหลือเพื่อเยียวยาคนจนขึ้น โดยใช้แบบฉบับมาจากอังกฤษ ผู้ร่างนโยบายของโอซากะได้ให้ความสำคัญกับการสร้างครอบครัวและการช่วยเหลือซึ่งกันและกันในการต่อสู้กับความยากจน ซึ่งเป็นวิธีการที่จะช่วยลดงบประมาณของนโยบายเปลี่ยนแปลงเมืองไปสู่ความร่ำรวย [6]

อย่างไรก็ตาม โอซากะก็เสียหายอย่างหนักจากสงครามโลกครั้งที่ 2 เมื่อกองทัพอเมริกันได้ทิ้งระเบิดใส่พื้นที่ต่างๆของโอซากะในช่วงปีสุดท้ายของสงคราม ประชาชนไร้ที่อยู่อาศัยและอุตสาหกรรมได้รับความเสียหายอย่างหนัก แต่เมืองก็กลับคืนสู่สภาพเดิมได้อย่างรวดเร็วหลังสิ้นสุดสงคราม และกลับมาเป็นเมืองศูนย์กลางด้านอุตสาหกรรมและวัฒนธรรมได้อีกครั้งอย่างรวดเร็ว[7]

แหล่งที่มา

WikiPedia: โอซากะ http://www3.prefeitura.sp.gov.br/cadlem/secretaria... http://books.google.com/?id=ZiDvMz1CIvwC&pg=PA195r... http://books.google.com/?id=eKdMdyZzjyQC http://books.google.com/?id=gBgVAAAAMAAJ&q=kyoto+k... http://books.google.com/?id=zMC4RMXQkn0C&pg=RA2-PA... http://www.j-cast.com/2008/06/11021633.html http://www.mastercard.com/us/company/en/insights/p... http://www.mercer.com/costoflivingpr#Top_50 http://www.pwc.com/uk/eng/ins-sol/publ/ukoutlook/p... http://worldweather.wmo.int/068/c00184.htm