ประวัติ ของ ไม้ม้วน

ไม้ม้วนมีปรากฏในภาษาเขียนของไทย มาตั้งแต่สมัยสุโขทัย ในศิลาจารึกหลักที่หนึ่ง ของพ่อขุนรามคำแหง ในคำว่า ใคร ใคร่ ใด ใส ใหญ่ ใน ให้ ใช้ ใต้ ใศ่ ใว้ เป็นต้น เสียงสระของไม้ม้วนเดิมเป็นเสียงสระผสม อะ+อึ (/aɰ/) [1] ซึ่งหายไปจากภาษามาตรฐาน แต่ก็ยังมีร่องรอยให้เห็นในภาษาไทยถิ่นและภาษาไทกลุ่มต่าง ๆ นอกประเทศไทย ภาษาไทยปัจจุบันออกเสียง อะ+ย เหมือนไม้มลาย (ไ) นอกจากภาษาไทยมาตรฐานแล้วยังมีภาษาไทกลุ่มอื่นเช่น ภาษาลาว และภาษาไทใหญ่ ที่ปรากฏไม้ม้วนในภาษาเขียน

ในสมัยกรุงศรีอยุธยา มีตำราเรียนระบุการใช้ไม้ม้วน ในคำศัพท์จำนวน 20 คำ โดยมีคำกลอนแต่งไว้ในหนังสือจินดามณีดังนี้

ใฝ่ใจแลให้ทานทังนอกในแลใหม่ใส
ใครใคร่แลยองใยอันใดใช้แลใหลหลง
ใส่กลสใพ้ใบ้ทังใต้เหนือแลใหญ่ยง
ใกล้ใบแลใช้จงญี่สิบม้วนคือวาจา

ส่วนในหนังสือหนังสือประถมมาลา แต่งโดยพระเทพโมลี (ผึ้ง) ในสมัยรัชกาลที่ 3 ได้ให้หลักการใช้ไม้ม้วน โดยที่สองบทท้ายเป็นคำกลอนจากตำราจินดามณีนั่นเอง ดังนี้

หนึ่งไซร้หมู่ไม้ม้วนปราชประมวลแต่บูราณ
จักลอกจำลองสารตามอาจารย์บังคับไข
ใฝ่ใจให้ทานนี้นอกในมีแลใหม่ใส
ใครใคร่แลยองใยอันใดใช้อย่าใหลหลง
ใส่กลสะใภ้ใบ้ทั้งต่ำใต้และใหญ่ยง
ใกล้ใบแลใช่จงใช้ให้คงคำบังคับ

หลังจากนั้น ยังมีบทกลอน (กาพย์ยานี) ที่สอนการใช้ไม้ม้วน ที่รู้จักกันดีจนปัจจุบัน ดังนี้

ผู้ใหญ่หาผ้าใหม่ให้สะใภ้ใช้คล้องคอ
ใฝ่ใจเอาใส่ห่อมิหลงใหลใครขอดู
จักใคร่ลงเรือใบดูน้ำใสและปลาปู
สิ่งใดอยู่ในตู้มิใช่อยู่ใต้ตั่งเตียง
บ้าใบ้ถือใยบัวหูตามัวมาใกล้เคียง
เล่าท่องอย่าละเลี่ยงยี่สิบม้วนจำจงดี

เป็นที่น่าสังเกตว่า ในสยามนั้นการใช้ไม้ม้วนจำกัดอยู่ที่คำศัพท์ 20 คำ มาตั้งแต่สมัยอยุธยาเป็นอย่างน้อย และคำศัพท์ใหม่ๆ ที่เกิดขึ้น จะใช้ไม้มลายทั้งสิ้น (เว้นแต่ลูกคำที่แตกจากแม่คำ ซึ่งใช้ไม้ม้วนอยู่แล้ว) แม้คำศัพท์เฉพาะ ที่เป็นชื่อต่างๆ ก็ไม่นิยมที่จะใช้ไม้ม้วนนอกเหนือจาก 20 คำดังกล่าว

ใกล้เคียง