สถานที่ท่องเที่ยว ของ ไลพ์ซิช

ศาสนสถาน

  1. โบสถ์นักบุญโธมัส เมืองไลพ์ซิช โบสถ์ที่โยฮันน์ เซบาสเทียน บาค ทำงานดนตรี ได้แก่ การประพันธ์เพลง การควบคุมวงดนตรี การสอนคณะนักเรียนประสานเสียง ขณะที่ใช้ชีวิตในไลพ์ซิช ปัจจุบันได้รับการขนานนามว่า เป็น โบสถ์ของบาค นักท่องเที่ยวจำนวนมากมาเยี่ยมเยียนไลพ์ซิช เพื่อซึมซับบรรยากาศการใช้ชีวิตของนักประพันธ์ท่านนี้ ทุกวันพุธ และวันเสาร์ ที่โบสถ์นี้จะจัดแสดงดนตรีจากบทประพันธ์ของโยฮันน์ เซบาสเทียน บาคโดยนักดนตรีมืออาชีพ
  2. โบสถ์นักบุญนิโคลัส นอกจากเป็นโบสถ์ที่ โยฮันน์ เซบาสเทียน บาคมักจะนำเอาผลงานการประพันธ์ทุกชิ้นออกแสดงเป็นครั้งแรกแล้ว ยังเป็นโบสถ์ที่มีความสำคัญ เนื่องจากในช่วงที่ไลพ์ซิช อยู่ภายใต้ประเทศเยอรมนีตะวันออก โบสถ์แห่งนี้เป็นศูนย์รวมของชาวเมืองที่ร่วมจัดอธิษฐานเพื่อสันติภาพ ให้หลุดพ้นจากการปกครองในระบบคอมมิวนิสต์ โดยเริ่มครั้งแรกใน ค.ศ. 1980 โดยเป็นการอธิษฐานต่อเนื่อง 10 วัน ในช่วงเดือนพฤศจิกายน และจัดต่อเนื่องกันทุกปี จนกระทั่งช่วงเย็นของวันที่ 9 ตุลาคม ค.ศ. 1989 หลังงานฉลองครบรอบ 40 ปีประเทศเยอรมนีตะวันออก เพียง 2 วัน ชาวเมืองได้ร่วมกันเดินขบวนเพื่อมาร่วมอธิษฐานที่โบสถ์แห่งนี้ จนเกิดเป็นคลื่นมหาชนที่มารวมตัวกัน เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้เกิดลงนามการรวมประเทศเยอรมนีในวันรุ่งขึ้น
  3. โบสถ์นักบุญเปาโล หรือ คริสตจักรแห่งมหาวิทยาลัย เริ่มสร้างใน ค.ศ. 1231 และมอบให้เป็นคริสตจักรประจำมหาวิทยาลัยไลพ์ซิช ตั้งแต่ ค.ศ. 1409 เมื่อมีการก่อตั้งมหาวิทยาลัย จนกระทั่งใน ค.ศ. 1961 ในยุคเยอรมันตะวันออก ผู้นำระบอบคอมมิวนิสต์ และผู้บริหารมหาวิทยาลัยในสมัยนั้นได้ทุบโบสถ์นี้ทิ้ง เนื่องจากไม่ต้องการให้มีสัญลักษณ์ของศาสนาในพื้นที่ของมหาวิทยาลัย ปัจจุบันมหาวิทยาลัยไลพ์ซิชได้ก่อสร้างอาคารคริสตจักรขึ้นใหม่ เพื่อเป็นการเฉลิมฉลอง 600 ปีการก่อตั้งมหาวิทยาลัย และคาดว่าจะแล้วเสร็จใน ค.ศ. 2010 โดยอาคารที่สร้างขึ้นใหม่นี้ มีวัตถุประสงค์เพียงเพื่อรำลึกถึงอาคารโบสถ์นักบุญเปาโลเท่านั้น มิได้มีเจตนาที่จะให้เป็นอาคารสำหรับประกอบพิธีทางศาสนา เนื่องจากจำนวนประชากรในไลพ์ซิชที่นับถือศาสนานั้นมีจำนวนน้อยมาก ดังนั้นทางมหาวิทยาลัยไลพ์ซิช รวมกับเมืองไลพ์ซิชได้ออกแบบอาคารนี้เพื่อเป็นศูนย์ประชุมและอาคารเรียนสำหรับใช้ในกิจการของมหาวิทยาลัยเป็นสำคัญ
  4. โบสถ์รัสเซีย หรือโบสถ์นักบุญอเล็กซี่ เป็นโบสถ์นิยายออร์โธดอกซ์ สร้างขึ้นใน ค.ศ. 1913 เพื่อเป็นที่ระลึกครบรอบ 100 ปี สงครามแห่งชนชาติ ณ เมืองไลพ์ซิช ที่กองทัพรัสเซียเข้าร่วมกับกองทัพกษัตริย์นานาชาติในยุโรปร่วมกันเอาชนะนโปเลียนได้เป็นครั้งแรก เป็นโบสถ์ที่รัฐบาลรัสเซียสร้างให้แก่เมืองไลพ์ซิช ณ บริเวณที่มีการทำสงครามเกิดขึ้นจริงใน ค.ศ. 1813 และเนื่องด้วยค่าใช้จ่ายในการก่อสร้างโบสถ์แห่งนี้ มีมูลค่าสูงกว่าหนึ่งล้านมาร์กเยอรมัน (ณ ขณะนั้น) คณะผู้ปกครองเมืองไลพ์ซิช จึงยกที่ดินของโบสถ์แห่งนี้ให้เป็นของรัฐบาลรัสเซีย[13] ปัจจุบันด้านบนของโบสถ์จัดเป็นพิพิธภัณฑ์ ในขณะที่อาคารด้านล่าง ยังคงใช้เป็นสถานนมัสการสำหรับนิกายรัสเซียนออร์โธดอกซ์

อนุสรณ์สถาน

  1. อนุสรณ์สถานสงครามแห่งชนชาติ อนุสรณ์สถานที่รำลึกถึงชัยชนะของกองทัพพันธมิตร ที่มีต่อกองทัพนโปเลียนครั้งแรกในยุโรป นอกจากเป็นที่ระลึกต่อเหตุการณ์ครั้งนั้นแล้ว ด้านบนหอคอยของอนุสรณ์สถานแห่งนี้ ยังเป็นจุดชมทัศนียภาพของเมืองไลพ์ซิช เป็นอย่างดีอีกด้วย
  2. บ้านพักของบุคคลสำคัญ เนื่องจากไลพ์ซิชเป็นที่พำนักของศิลปิน นักประพันธ์ที่มีชื่อเสียงหลายท่าน จึงได้นำบ้านพักของท่านเหล่านั้นในสมัยที่ดำรงชีวิตอยู่ในไลพ์ซิชจัดแสดงเพื่อเป็นการรำลึกถึง บ้านพักของบุคคลสำคัญที่ได้รับความนิยมในการเข้าเยี่ยมชม ได้แก่ บ้านพักของชิลเลอร์ นักประพันธ์เพลง บ้านพักของเมนเดลโซห์น นักอำนวยเพลง[14] บ้านพักและที่ทำงานของบาค[15] บ้านพักของโรเบิร์ต ชูมานน์[16]เป็นต้น

สถาปัตยกรรม

  1. สถานีรถไฟไลพ์ซิช เป็นศูนย์กลางการคมนาคมทางรถไฟในยุโรปกลางตั้งแต่ศตวรรษที่ 19 สถานีรถไฟแห่งนี้ สร้างใน ค.ศ. 1915 เดิมแบ่งเป็นสองส่วนแยกจากกัน โดยสถานีฝั่งตะวันออกเป็นส่วนบริหารของรัฐซัคเซิน สถานีฝั่งตะวันตกเป็นส่วนบริหารของสหพันธรัฐปรัสเซีย[17](สาธารณรัฐเชค และประเทศโปแลนด์ในปัจจุบัน) ตั้งแต่ ค.ศ. 1998 ได้บูรณะสถานีรถไฟนี้ใหม่ ได้เชื่อมต่อทั้งสองส่วนเข้าด้วยกัน ส่งผลให้สถานีรถไฟไลพ์ซิชประกอบด้วย 26 ชานชลา มีพื้นที่รวมกว่า 83,460 ตารางเมตร และศูนย์การค้าขนาดใหญ่ในตัวสถานี สถานีรถไฟแห่งนี้ใหญ่ที่สุดในทวีปยุโรป
  2. ศาลาว่าการเมืองไลพ์ซิชหลังเก่า อาคารศาลาว่าการเมืองนี้สร้างขึ้นใน ค.ศ. 1556 และเป็นอาคารยุคเรเนซองหลังใหญ่ที่สุดที่ยังหลงเหลืออยู่ในเยอรมนีในปัจจุบันนี้ เป็นอาคารที่ตั้งอยู่บริเวณใจกลางเมือง มีความยาวกว่า 90 เมตร ประกอบด้วยหอคอย และตัวอาคารสองหลังเชื่อมต่อกันบริเวณชั้นสองซึ่งเป็นห้องโถงใหญ่สำหรับผู้ว่าการเมือง ออกปฏิบัติราชการและพิพากษาคดี ปัจจุบันศาลาว่าการเมืองหลังนี้ เปิดเป็นพิพิธภัณฑ์ สำหรับนักท่องเที่ยวเข้าชม โดยจัดแสดงการตกแต่งภายในที่ยังคงสภาพใกล้เคียงรูปแบบเดิม ซึ่งตกแต่งด้วยชิ้นไม้ขนาดใหญ่ และภาพเขียนเจ้าเมือง หรือ นายกเทศมนตรีของเมืองตั้งแต่สมัยศตวรรษที่ 16 เป็นต้นมา ซึ่งเป็นหนึ่งในพิพิธภัณฑ์ที่นักท่องเที่ยวควรหาเวลาเข้าชมเป็นอย่างยิ่ง ส่วนบริเวณชั้นล่าง แบ่งเป็นพื้นที่ให้เช่าสำหรับร้านค้าขายของที่ระลึก ซึ่งรวมไปถึงผลิตภัณฑ์เซรามิก ไมเซน ที่มีชื่อเสียง และเก่าแก่ที่สุดของเยอรมนี รวมอยู่ด้วย
  3. ศาลาว่าการเมืองไลพ์ซิชหลังปัจจุบัน ศาลาว่าการเมืองหลังปัจจุบันสร้างขึ้นใหม่ ใน ค.ศ. 1899 บนพื้นที่ซึ่งเป็นปราสาทเก่าของเมือง ได้แก่ ปราสาทไพรซ์เซน โดยพยายายมคงสถาปัตยกรรมเดิมของตัวปราสาทไว้ แต่ปรับโครงสร้างภายในอาคาร เพื่อเป็นสำนักงานของเมือง รวมถึงห้องประชุมสำหรับสภาเมืองด้วย
  4. ศาลอุทธรณ์ ที่ไลพ์ซิช เป็นที่ตั้งของศาลอุทธรณ์แห่งสหพันธสาธารณรัฐเยอรมนี
  5. เกวานเฮ้าส์[18] เป็นสถานที่จัดแสดงคอนเสิร์ตออเคสตร้า และดนตรีคลาสสิก และเป็นสถานที่จัดแสดงหลักของวงดนตรีออเคสตร้าที่มีชื่อเสียงในยุโรปด้วย สิ่งที่น่าสนใจในเกวานเฮาส์ นอกจากงานแสดงดนตรีในรูปแบบต่าง ในอัตราค่าเข้าชมที่ไม่สูงมากนักแล้ว ภายในอาคารแห่งนี้ตกแต่งด้วยภาพวาดศิลปะที่เกี่ยวเนื่องกับการแสดงดนตรี อาคารเกวานเฮาส์หลังปัจจุบันนี้สร้างขึ้นใหม่ในช่วงที่เมืองไลพ์ซิชอยู่ภายใต้การปกครองของประเทศเยอรมนีตะวันออก เพื่อทดแทนของเก่าที่เสียหายไปในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง รูปทรงสถาปัตยกรรมของตัวอาคารจึงมีรูปลักษณ์ที่แตกต่างไปจากอาคารโดยรอบ โดยในช่วงเวลานั้น ลานบริเวณด้านหน้าเกวานด์เฮาส์เปลี่ยนชื่อเป็นจตุรัสคาร์ล มาร์กซ์ และมีการจัดทำอนุสวรีย์ประชาชน ไว้บริเวณดังกล่าว ภายหลังการรวมประเทศ ลานดังกล่าวได้เปลี่ยนมาใช้ชื่อ จตุรัสเอากุสตุส ดังในอดีต และมหาวิทยาลัยไลพ์ซิช ได้ย้ายอนุสวรีย์ดังกล่าวออกจากจตุรัสนี้ ไปตั้งไว้ยังคณะวิทยาศาสตร์การกีฬา แทน
  6. เอาเออร์บาค เคลเลอร์ เป็นภัตตาคาร ตั้งอยู่บริเวณชั้นใต้ดินของอาคารศูนย์การค้า ซึ่งเป็นอาคารที่เปิดใช้ครั้งแรกใน ค.ศ. 1525 ภัตตาคารนี้เป็นหนึ่งในร้านอาหารที่เปิดบริการมายาวนานกว่า 600 ปี และเป็นร้านอาหารที่ เกอเธอมักจะเข้ามาใช้บริการเป็นประจำ นอกจากนี้ในภัตตาคารนี้ตกแต่งโดยภาพเขียนจากอุปรากรชื่อดังของนักเขียนท่านนี้ เรื่อง Faust อีกด้วย โดยภัตตาคารแบ่งออกเป็นสองส่วน ได้แก่ส่วนที่ราคาแพง (ราคาอาหารประมาณรายการละ 15–20 ยูโร) และส่วนที่ราคาแพงมาก(ราคาอาหารแต่ละรายการไม่ต่ำกว่า 30 ยูโร) โดยในปัจจุบันมีการจัดแสดงละครเวทีเรื่องดังกล่าวในภัตตาคารแห่งนี้ จุดเด่นอีกอย่างของภัตตาคารนี้ ได้แก่บริเวณหน้าบันไดทางลง มีปฏิมากรรมทองเหลือง จากบทประพันธ์เรื่องเดียวกันนี้จัดแสดงอยู่และเป็นจุดที่นักท่องเที่ยวมันแวะมาลูบคลำรูปปั้นดังกล่าวในบริเวณรองเท้า ด้วยความเชื่อว่าจะนำความโชคดีมาให้

พิพิธภัณฑ์

  • พิพิธภัณฑ์กราสซี (Grassi Museum) พิพิธภัณฑ์ที่ตั้งชื่อตามเจ้าของสถานที่ ซึ่งบริจาคอาคารเพื่อให้จัดตั้งพิพิธภัณฑ์แห่งนี้ ในอาคารพิพิธภัณฑ์นี้ จัดแบ่งออกเป็นหลายส่วน โดยแบ่งออกเป็น
    • พิพิธภัณฑ์ศิลปประยุกต์ (อังกฤษ: The GRASSI Museum of Applied Art of Leipzig; เยอรมัน: Kunstgewerbemuseum Leipzig) เปิดให้เข้าชมได้ตั้งแต่ ค.ศ. 1874 และเป็นพิพิธภัณฑ์ศิลปประยุกต์ที่เก่าแก่เป็นอันดับสองในประเทศเยอรมนี[19] ภายในพิพิธภัณฑ์จัดแสดงผลงานศิลปร่วมสมัยจากนานาชาติ และรวมไปถึงพื้นที่จัดแสดงที่นำผลงานศิลปประยุกต์จากพิพิธภัณฑ์อื่น ๆ หมุนเวียนมาจัดแสดงร่วมอีกด้วย
    • พิพิธภัณฑ์เครื่องดนตรี (อังกฤษ: the Museum of Musical Instruments; เยอรมัน: Museum für Musikinstrumente der Universität Leipzig) พิพิธภัณฑ์เครื่องดนตรี เปิดแสดงครั้งแรกใน ค.ศ. 1886 ซึ่งดำเนินการโดยเอกชน ต่อมาใน ค.ศ. 1905 เจ้าของเดิมพยายามขายพิพิธภัณฑ์นี้ให้แก่เมืองไลพ์ซิช แต่การเจรจาไม่สำเร็จ จึงขายให้แก่ วิลเฮ็ลม เฮเยอร์ (Wilhelm Heyer) ต่อมาภายหลังวิลเฮ็ลม เฮเยอร์ เสียชีวิต บุตรหลานของเขาจึงได้จำหน่ายพิพิธภัณฑ์นี้ให้แก่มหาวิทยาลัยไลพ์ซิช ใน ค.ศ. 1926 โดยในครั้งนั้นได้รับงบประมาณสนับสนุนจากสหพันธรัฐแซกโซนี และคหบดีของเมือง แต่ในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง พิพิธภัณฑ์ได้รับความเสียหายอย่างหนัก ของสะสมจำนวนมากทรุดโทรม และถูกขโมยไป จนกระทั่งใน ค.ศ. 1950 จึงได้มีการบูรณะอาคารพิพิธภัณฑ์ และรวบรวมของสะสมต่าง ๆ เพื่อเปิดดำเนินการพิพิธภัณฑ์อีกครั้ง[20] ภายในพิพิธภัณฑ์แสดงเครื่องดนตรีของนักดนตรีชื่อดังของเมืองหลายท่าน และยังได้ยจัดแสดงองค์ประกอบของเครื่องดนตรีชนิดต่าง ๆ อีกด้วย
    • พิพิธภัณฑ์มานุษยวิทยา (อังกฤษ: the Museum of Ethnographischen of Leipzig; เยอรมัน: Museum für Völkerkunde zu Leipzig) เริ่มดำเนินการใน ค.ศ. 1869 โดยรับซื้อของสะสมจำพวกเสื้อผ้า และเครื่องประดับจากนักสะสม เพื่อนำมาจัดแสดงเป็นพิพิธภัณฑ์ หลังจากของสะสมกว่าหนึ่งในห้าถูกทำลายไปในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง พิพิธภัณฑ์แห่งนี้ก็เปิดให้ประชาชนได้เข้าชมได้อีกครั้งใน ค.ศ. 2005 ณ พิพิธภัณฑ์กราสซี[21] ในพิพิธภัณฑ์ส่วนนี้ จัดแสดงศิลปวัฒนธรรมของชนชาติต่าง ๆ ทั่วโลก ผ่านเสื้อผ้า เครื่องประดับ การใช้ชีวิต ความเป็นอยู่ และผลงานทางศิลปะ ที่แตกต่างกันของแต่ละชนชาติ เป็นพิพิธภัณฑ์ที่ใช้เนื้อที่มากที่สุดในพิพิธภัณฑ์กราสซีแห่งนี้
  • โรงงานปั่นด้าย (Spinnerei) โรงปั่นด้ายเก่าของเมือง ก่อตั้งใน ค.ศ. 1863 ในยุคที่ค่าแรงในเยอรมันต่ำมาก และยังไม่มีการกำหนดชั่วโมงทำงานของแรงงาน เนื่องจากความต้องการผ้าฝ้ายในทวีปยุโรปมีอัตราการขยายตัวสูงมากในช่วงนั้น โรงงานปั่นด้านแห่งนี้จึงได้เติบโตอย่างต่อเนื่องจนกระทั่งใน ค.ศ. 1902 ได้กลายเป็นโรงงานปั่นด้ายผ้าฝ้ายที่ใหญ่ที่สุดในยุโรป มีการนำวัตถุดิบ ได้แก่ ฝ้าย เข้ามาจากทวีปแอฟริกา โดยมีโรงงานปั่นด้ายกว่า 6 โรงงาน มีกำลังการผลิตสูงถึง 240,000 แกนด้ายต่อปี และยังมีอาคารที่พักสำหรับคนงาน อาคารโรงเรียน โรงรับเลี้ยงเด็ก สนามเด็กเล่น โรงอาหาร ไว้บริการพนักงานอีกด้วย โรงงานดังกล่าวดำเนินงานมาจนกระทั่งช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่สอง เมื่อสหภาพโซเวียตเข้าปกครองเยอมรมนีตะวันออก ได้มีการนำเครื่องจักรบางส่วนออกไป แต่ตัวโรงงานยังคงดำเนินงานจนกระทั่งทศวรรษที่ 1980 จึงได้เลิกการผลิตไปทั้งหมด เนื่องจากต้นทุนที่สูงขึ้นอย่างมาก ต่อมาจึงได้พัฒนาพื้นที่นี้เป็นสถานที่จัดแสดงศิลปะร่วมสมัย และปัจจุบันได้ดัดแปลงเป็นอาคารที่พักอาศัย สำนักงานสำหรับศิลปิน สถาปนิก สถาบันสอนเต้นรำ และสถานที่จัดแสดงผลงานศิลปะร่วมสมัยแขนงต่าง ๆ มีการจัดเทศกาลปีละ 3 ครั้งเพื่อแสดงผลงานของศิลปินในพื้นที่โครงการให้นักท่องเที่ยวและผู้สนใจเข้าชมได้โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย

นันทนาการ

  1. ทะเลสาบคอสปูเดเนอร์ ทะเลสาบนี้สร้างขึ้นเป็นสถานที่พักผ่อนหย่อนใจของชาวเมืองในฤดูใบไม้ผลิ และฤดูร้อน
  2. สวนสัตว์ไลพ์ซิช เป็นสวนสัตว์ขนาดใหญ่ในรัฐซัคเซิน จัดแสดงสัตว์จากทั่วทุกมุมโลก โดยมีการจัดแบ่งพื้นที่การแสดงตามภูมิภาค และประเภทของสัตว์ป่า ได้แก่ แอฟริกา เอเซีย อเมริกาใต้ ส่วนจัดแสดงพันธุ์ไม้ ส่วนจัดแสดงลิงนานาพันธุ์ และส่วนจัดแสดงสัตว์เลื้อยคลาน[22] สวนสัตว์ไลพ์ซิช เปิดดำเนินการโดยเอกชนตั้งแต่ ค.ศ. 1878 และเมืองไลพ์ซิชได้รับโอนเป็นของเมือง ค.ศ. 1920[23] ปัจจุบันมีพื้นที่กว่า 225,000 ตารางเมตร มีสัตว์ป่ากว่าห้าพันตัว มากกว่า 600 สายพันธุ์ และได้รับการบันทึกว่าเป็นสวนสัตว์ที่มีสัตว์ผู้ล่ามากที่สุดแห่งหนึ่งในระดับโลก
  3. มอริทซ์บาสไท (Moritzbastei) เป็นส่วนหนึ่งของกำแพงเมืองเก่า และภายในเป็นสถานที่คุมขังนักโทษ ปัจจุบันได้ปรับปรุงเป็นสถานบันเทิงสำหรับนักศึกษา
  4. ศูนย์ประชุมและแสดงสินค้านานาชาติไลพ์ซิช ไลพ์ซิชเป็นศูนย์กลางการค้าที่สำคัญมาเป็นเวลานาน และเป็นเคยเป็นศูนย์กลางสื่อสิ่งพิมพ์ที่ใหญ่ที่สุดในเยอรมนีก่อนสงครามโลกครั้งที่สอง ศูนย์ประชุมและแสดงสินค้านานชาติไลพ์ซิช จึงมีการจัดแสดงสินค้าที่สำคัญหลายงานด้วยกัน โดยงานแสดงสินค้าที่มีชื่อเสียง ได้แก่ งานแสดงหนังสือ ซึ่งถือว่าเป็นงานแสดงหนังสือที่เก่าแก่ที่สุดของเยอรมนีที่ยังคงดำเนินการจนถึงปัจจุบัน งานแสดงรถยนต์นานาชาติ (AMI และ AMITEC) และงานแสดงเกม (Game Convention) เป็นต้น