เมนูนำทาง
การประท้วงในประเทศไทย_พ.ศ._2563 การประท้วงระยะแรก (เดือนกุมภาพันธ์)การประท้วงระยะแรกเกิดจากคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญยุบพรรคอนาคตใหม่ พรรคการเมืองฝ่ายค้านซึ่งได้รับความนิยมในหมู่เยาวชน เมื่อวันที่ 23 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2563[37] จึงเกิดการเดินขบวนในมหาวิทยาลัย วิทยาลัยและโรงเรียนหลายแห่งทั่วประเทศตั้งแต่นั้นมา การประท้วงเหล่านี้มีแฮชแท็กที่จำเพาะกับสถาบันของพวกตน การประท้วงในช่วงแรก ๆ เกิดขึ้นในมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มหาวิทยาลัยรามคำแหง มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ และมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒในวันที่ 24 กุมภาพันธ์ โรงเรียนที่ประท้วงด้วย เช่น โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาและโรงเรียนศึกษานารีวิทยา อย่างไรก็ดี การประท้วงเหล่านี้จำกัดอยู่ในสถาบันของตนเท่านั้น[38][39] ด้านบุญเกียรติ การะเวกพันธุ์ อาจารย์มหาวิทยาลัยรามคำแหง ระบุว่า การประท้วงบนถนนไม่เคยสร้างการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองในประเทศไทย หากกองทัพยังอยู่ข้างรัฐบาล[1]
แฮชแท็กที่เกิดขึ้นในการประท้วงเดือนกุมภาพันธ์ เช่น ในจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ใช้ #เสาหลักจะไม่หักอีกต่อไป, ในโรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา ใช้ #เกียมอุดมไม่ก้มหัวให้เผด็จการ, ในมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ใช้ #มศวคนรุ่นเปลี่ยน อีกจำนวนหนึ่งใช้แสดงออกถึงความเป็นปรปักษ์กับกลุ่มผู้สนับสนุนเผด็จการ เช่น #KUไม่ใช่ขนมหวานราดกะทิ, #KKUขอโทษที่ช้าโดนสลิ่มลบโพสต์, #ศาลายางดกินของหวานหลายสี, #พระจอมเกล้าชอบกินเหล้าไม่ชอบกินสลิ่ม
ต่อมาการประท้วงหยุดไปจากสถานการณ์การระบาดทั่วของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ในประเทศไทย และมีคำสั่งให้ปิดสถานศึกษาทั่วประเทศเพื่อควบคุมโรค
เมนูนำทาง
การประท้วงในประเทศไทย_พ.ศ._2563 การประท้วงระยะแรก (เดือนกุมภาพันธ์)ใกล้เคียง
การประท้วงในประเทศไทย พ.ศ. 2563–2564 การปรับตัวเป็นสัตว์เลี้ยง การปรับอากาศรถยนต์ การประกวดความงาม การปรับตัว (ชีววิทยา) การประมาณราคา การประกวดโครงงานวิทยาศาสตร์และวิศวกรรมศาสตร์นานาชาติ การประเมินตัวเองหลัก (จิตวิทยา) การประกันภัย การประกวดเพลงยูโรวิชันแหล่งที่มา
WikiPedia: การประท้วงในประเทศไทย_พ.ศ._2563 http://prachatai.com/english/node/4218 //doi.org/10.1017%2Ftrn.2018.4 //doi.org/10.1177%2F2057891119892321 //doi.org/10.1353%2Fasp.2019.0050 //doi.org/10.1353%2Fjod.2019.0056 //doi.org/10.1355%2Fcs39-1b //doi.org/10.2307%2F26798844 http://dx.doi.org/10.1017/trn.2018.4 http://dx.doi.org/10.1177/2057891119892321 http://dx.doi.org/10.1353/asp.2019.0050