ข้อเรียกร้องอื่น:
ผู้ประท้วง: (ไม่มีสายบังคับบัญชา)และอื่น ๆ สื่อที่สนับสนุน
ราชการ:ประชาชน:สื่อที่สนับสนุน
การประท้วงในประเทศไทย พ.ศ. 2563 เป็นการประท้วงที่กำลังดำเนินอยู่ต่อรัฐบาลนายกรัฐมนตรีและอดีตหัวหน้า
คณะรักษาความสงบแห่งชาติ พลเอก
ประยุทธ์ จันทร์โอชา แรกเริ่มเกิดจากคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญให้ยุบ
พรรคอนาคตใหม่ในวันที่ 21 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2563 การประท้วงเกิดขึ้นในพื้นที่สถานศึกษาทั้งหมด และหยุดไปช่วงหนึ่งจาก
การระบาดทั่วของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ในประเทศไทย และมีการออกคำสั่งปิดสถานศึกษาเพื่อควบคุมโรคการประท้วงกลับมาอุบัติขึ้นอีกครั้งในวันที่ 18 กรกฎาคม ในรูปแบบการเดินขบวนซึ่งจัดระเบียบภายใต้กลุ่ม "เยาวชนปลดแอก" ในพื้นที่
กรุงเทพมหานคร มีผู้เข้าร่วมประมาณ 2,500 คน นับเป็นการชุมนุมใหญ่สุดในรอบ 6 ปี มีการยื่นข้อเรียกร้อง 3 ประการต่อรัฐบาล ได้แก่ ให้ยุบ
สภาผู้แทนราษฎร หยุดคุกคามประชาชน และร่าง
รัฐธรรมนูญฉบับใหม่ การประท้วงในเดือนกรกฎาคมนั้นเกิดจากผลกระทบทางเศรษฐกิจของโควิด-19 และการบังคับใช้
พระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 (พ.ร.ก.ฉุกเฉิน) โดยแฝงเจตนายับยั้งการชุมนุมทางการเมือง นับแต่นั้นทำให้ต่อมาการประท้วงได้ลามไปอย่างน้อย 44 จังหวัดทั่วประเทศ และมีการประท้วงแทบทุกวัน จนวันที่ 3 สิงหาคม กลุ่มผู้ประท้วงจัดปราศรัยเกี่ยวกับประเด็นพระราชอำนาจและเพิ่มข้อเรียกร้องในการปฏิรูปสถาบันพระมหากษัตริย์ นำไปสู่การจับกุมตัวผู้ประท้วง 2 คน เหตุการณ์นี้ทำให้สื่อเรียกว่า "ขยายเพดาน"หลังเหตุการณ์ดังกล่าว ประเด็นพระราชอำนาจดูเหมือนเข้ามารวมอยู่ในเป้าหมายการประท้วงด้วย กลุ่มประชาชนที่สนับสนุนรัฐบาลจัดการชุมนุมตอบโต้ โดยกล่าวหาผู้ประท้วงว่าถูกยุยงปลุกปั่นมีเจตนาแฝงล้มสถาบันพระมหากษัตริย์ ส่วนนักวิชาการจำนวนหนึ่งและ
พรรคก้าวไกลออกแถลงการณ์สนับสนุนสิทธิในการเรียกร้องของผู้ประท้วงการตอบสนองของภาครัฐมียุทธวิธีประวิงเวลา การแจ้งข้อหาอาญาโดยใช้ พรก. ฉุกเฉิน การกักขังตามอำเภอใจและการคุกคามของตำรวจ มีการใช้หน่วยสงครามข่าวสาร การตรวจพิจารณาสื่อ และมีความเคลื่อนไหวของกลุ่มศาลเตี้ยต่าง ๆ และมีการป้ายสีผู้ประท้วงว่ามีรัฐบาลและองค์การนอกภาครัฐต่างประเทศให้การสนับสนุน บ้างก็ว่าผู้ประท้วงตกเป็นเหยื่อของนักการเมือง