การปฏิเสธโรงเรียน
การปฏิเสธโรงเรียน

การปฏิเสธโรงเรียน

โรคกลัวโรงเรียน (อังกฤษ: school phobia) หรือ การปฏิเสธโรงเรียน (อังกฤษ: school refusal) เป็นคำที่ใช้ครั้งแรกในสหราชอาณาจักร เพื่ออธิบายการปฏิเสธเข้าศึกษาในโรงเรียน เนื่องจากความความบีบคั้นทางอารมณ์ โรคกลัวโรงเรียนต่างจากการหนีเรียน (truant) ตรงที่เด็กที่กลัวโรงเรียนรู้สึกกังวลหรือกลัวโรงเรียน ขณะที่เด็กหนีเรียนโดยทั่วไปไม่รู้สึกกลัวโรงเรียน แต่มักรู้สึกโกรธหรือเบื่อโรงเรียนมากกว่า โรงพยาบาลเด็กบอสตันมีแผนภูมิแสดงความแตกต่างระหว่างโรคกลัวโรงเรียนกับการหนีเรียน[1]คำว่า "การปฏิเสธโรงเรียน" ถูกประดิษฐ์ขึ้นใช้แทน "โรคกลัวโรงเรียน" ซึ่งเคยใช้อธิบายเยาวชนเหล่านี้ในอดีต การปฏิเสธโรงเรียนเป็นคำที่มีความหมายกว้างกว่า ที่ยอมรับว่า เด็กมีปัญหาในการเข้าโรงเรียนด้วยเหตุผลหลากหลาย อย่างไรก็ดี เหตุผลเหล่านี้อาจมิใช่การแสดงความกลัวที่แท้จริง เช่น การแยกหรือกังวลต่อการเข้าสังคม อาจจะเพราะครูโหดเกินไป[2]เด็กวัยเรียนประมาณร้อยละ 1 ถึง 5 ปฏิเสธโรงเรียน[3] พบมากที่สุดในเด็กอายุ 5, 6, 10 และ 11 ขวบ[4] การปฏิเสธโรงเรียนนี้พบบ่อยครั้งกว่าในช่วงการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญในชีวิตเด็ก เช่น การเข้าเรียนอนุบาล หรือการเปลี่ยนจากโรงเรียนประถมเป็นโรงเรียนมัธยมต้น[2] ปัญหาดังกล่าวอาจเริ่มจากการปิดภาคเรียน วันหยุด หรือการป่วยสั้น ๆ ที่เด็กกลับไปอยู่บ้านชั่วระยะเวลาหนึ่ง การปฏิเสธโรงเรียนยังอาจเกิดขึ้นหลังเหตุการณ์ที่เครียดอย่างมาก เช่น การย้ายบ้านใหม่ หรือการตายของสัตว์เลี้ยง หรือการเสียชีวิตของญาติ[4]อัตราการปฏิเสธโรงเรียนใกล้เคียงกันทั้งเพศหญิงและชาย [4] และแม้ว่า จะพบมากในพื้นที่เมืองบางแห่ง แต่ไม่มีข้อแตกต่างทางสังคมเศรษฐกิจที่มีผลต่ออัตราการปฏิเสธโรงเรียนเท่าที่ทราบ[5]อาการของการปฏิเสธโรงเรียน มีตั้งแต่ เด็กว่า ตนรู้สึกป่วยบ่อยครั้ง หรือตื่นขึ้นมาพร้อมกับอาการปวดหัว ปวดท้องหรือเจ็บคอ หากเด็กอยู่บ้าน อาการเหล่านี้อาจหายไป แต่จะกลับมาในเช้าวันรุ่งขึ้นก่อนไปโรงเรียน ยิ่งไปกว่านั้น เด็กที่ปฏิเสธโรงเรียนอาจตะโกนสาปหรืออาละวาดลงไปดิ้น (temper tantrums) [4]สัญญาณเตือนการปฏิเสธโรงเรียนมี การบ่นบ่อยครั้งเกี่ยวกับการเข้าเรียน การเข้าเรียนช้าหรือขาดเรียนโดยไม่มีเหตุผลบ่อยครั้ง การขาดเรียนในวันสำคัญ (เช่น การสอบ การพูดหน้าชั้น ชั้นเรียนพลศึกษา) การขอให้โทรศัพท์หรือกลับบ้านบ่อยครั้ง กังวลมากเกินเมื่อผู้ปกครองอยู่ในโรงเรียน การขอไปห้องพยาบาลบ่อยครั้ง เพราะอาการทางกาย หรือร้องไห้อยากกลับบ้าน[2]สำคัญที่ผู้ปกครองจะต้องพยายามนำเด็กเข้าเรียน ยิ่งเด็กไม่เข้าโรงเรียนนานเท่าไร ก็จะนำกลับเข้าเรียนยิ่งยากเท่านั้น[4] อย่างไรก็ดี อาจเป็นการยากที่สำเร็จ เพราะเมื่อถูกบังคับ เด็กอาจอาละวาด ตะโกนสาป มีอาการกายเหตุจิต (psychosomatic) หรือตื่นตระหนก และขู่จะทำร้ายตัวเอง ปัญหาเหล่านี้จะหมดไปอย่างรวดเร็วหากเด็กได้รับอนุญาตให้อยู่บ้านผู้ปกครองควรนำเด็กพบแพทย์ ซึ่งจะช่วยชี้ว่า อาการเจ็บป่วยใดที่อาจก่อให้เกิดปัญหา ผู้ปกครองยังควรพูดคุยกับครูของเด็กหรือผู้ให้คำปรึกษาของโรงเรียน[4] แม้การปฏิเสธโรงเรียนจะไม่ใช่โรคคลินิก ตาม Diagnostic and Statistical Manual of Mental Disorders ฉบับพิมพ์ครั้งที่สี่ แต่อาจเกิดร่วมกับโรคจิตเวชอื่น ๆ ได้หลายโรค รวมถึงโรควิตกกังวลจากการพรากจากสิ่งของหรือบุคคลสำคัญ (Separation Anxiety Disorder) โรคกลัวสังคม และโรคพฤติกรรม[5] ดังนั้น จึงสำคัญยิ่งที่เยาวชนที่ปฏิเสธโรงเรียนจะได้รับการประเมินอย่างครอบคลุมจากผู้เชี่ยวชาญสุขภาพจิต[6]การปฏิเสธโรงเรียนบางกรณีสามารถแก้ไขได้โดยการค่อย ๆ นำเด็กกลับเข้าสิ่งแวดล้อมโรงเรียน บางกรณีอาจต้องรักษาด้วยการบำบัดจิตวิเคราะห์ (psychodynamic therapy) และการบำบัดความคิดและพฤติกรรม (cognitive-behaviour therapy) บางครอบครัวอาจแสวงหาการศึกษาทางเลือกแก่เด็กปฏิเสธโรงเรียน ซึ่งพิสูจน์ว่าได้ผลเช่นกัน ในกรณีที่รุนแรง บางครั้งมีการจ่ายยารักษาโรคบางขนาน แต่ทางแก้เหล่านี้ไม่มีวิธีใดโดดเด่นกว่าวิธีอื่น

ใกล้เคียง

การปฏิวัติสยาม พ.ศ. 2475 การปฏิวัติทางวัฒนธรรม การปฏิวัติฝรั่งเศส การปฏิวัติอุตสาหกรรม การปฏิวัติผ้ากาสาวพัสตร์ การปฏิวัติเม็กซิโก การปฏิวัติซินไฮ่ การปฏิวัติเวทมนตร์ขององค์หญิงเกิดใหม่กับยัยคุณหนูยอดอัจฉริยะ การปฏิวัติสยาม พ.ศ. 2231 การปฏิวัติตูนิเซีย