ยุทธวิธีและวาระของผู้ประท้วง ของ การประท้วงในประเทศไทย_พ.ศ._2563–2564

กลุ่มผู้ประท้วงไม่มีแกนนำชัดเจน แต่ผู้ประท้วงบางคนโดดเด่นขึ้นมาและมีชื่อปรากฏในสื่อ เช่น อานนท์ นำภา และปนัสยา สิทธิจิรวัฒนกุล ซึ่งเป็นผู้ปราศรัยบนเวทีและกล่าวข้อเรียกร้องปฏิรูปสถาบันพระมหากษัตริย์ ทัตเทพ เรืองประไพกิจเสรี ให้สัมภาษณ์ว่าเขายินดีที่ขบวนการประท้วงไม่ต้องการผู้นำ และสามารถระดมคนออนไลน์ได้ภายใน 30 นาที[275] การประท้วงในช่วงแรก ๆ นั้นมีสื่ออธิบายว่ามีความคิดสร้างสรรค์ และสามารถใช้เทคโนโลยีให้เกิดประโยชน์ มีการประท้วงโดยใช้สัญลักษณ์ปัญหาสังคมโดยเลี่ยงการกล่าวออกมาตรง ๆ[276] รวมทั้งการพาดพิงถึงวัฒนธรรมป็อป ติ๊กต็อก และทวิตเตอร์ เป็นแพลตฟอร์มที่ผู้ประท้วงนิยมใช้ และน่าจะเป็นครั้งแรกที่การประท้วงได้ลบขอบเขตระหว่างโลกจริงและโลกออนไลน์[277] ผู้ประท้วงมักใช้สัญลักษณ์ชูสามนิ้วจากภาพยนตร์ชุด เกมล่าเกม เพื่อต่อต้านรัฐบาล อย่างไรก็ดี กลุ่มผู้ประท้วงถูกประเมินว่าขาดยุทธศาสตร์ที่สอดคล้องกัน และไม่ได้มองการณ์ไกลไปมากกว่าชุมนุมแบบวันต่อวันเท่านั้น ส่วนหนึ่งคาดว่ามีสาเหตุจากการขาดโครงสร้างแบบรวมศูนย์เช่นเดียวกับขบวนการนักศึกษาในพุทธทศวรรษ 2510[278] สมาชิกขบวนการส่วนใหญ่เป็นนักเรียนนักศึกษา และเรียกร้องการเปลี่ยนแปลงอย่างเป็นระบบ ซึ่งต่างจากการประท้วงบนถนนก่อนหน้านี้ที่ฝ่ายทางการเมืองแย่งชิงอำนาจกัน[275] ในการชุมนุมบางครั้ง ผู้เข้าร่วมส่วนใหญ่เป็นหญิง ซึ่งต่อสู้เพื่อความเสมอภาคทางเพศและปิตาธิปไตย[279] ผู้ประท้วงยังใช้ยุทธวิธีศิลปะประท้วง คือ การแบ่งปันไฟล์ภาพหมุดคณะราษฎรหมุดที่ 2[280] ในเดือนมีนาคม 2564 มีการตั้งค่ายพักเพื่อปักหลักชุมนุมไม่มีกำหนดข้างทำเนียบรัฐบาล ชื่อ "หมู่บ้านทะลุฟ้า" พร้อมให้ผู้ชุมนุมเข้าพักฟรี[281][282]

การชุมนุมประท้วงที่แยกราชประสงค์ในวันที่ 15 ตุลาคม จัดขึ้นในภายหลังแกนนำถูกจับกุมจำนวนมาก

ข้อเรียกร้องปฏิรูปสถาบันพระมหากษัตริย์ในเดือนสิงหาคม 2563 นับเป็นครั้งแรกที่มีการอภิปรายเกี่ยวกับสถาบันพระมหากษัตริย์ในที่สาธารณะในประวัติศาสตร์ร่วมสมัย สำนักข่าวซีเอ็นเอ็นมองว่าข้อเสนอดังกล่าวน่าจะลดจำนวนผู้สนับสนุนขบวนการลง แต่หากรัฐบาลใช้กำลังปราบปรามก็อาจจะทำให้มีผู้กลับมาสนับสนุนขบวนการนี้มากขึ้น[283] ด้านหนังสือพิมพ์ บางกอกโพสต์ ลงความเห็นว่า ขบวนการอาจต้องขยายวาระทางสังคมหากต้องการให้การประท้วงสัมฤทธิ์ผล[284] แต่หลังจากการเลื่อนการลงมติแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญในเดือนกันยายน 2563 คอลัมนิสต์บางกอกโพสต์คนหนึ่งเขียนว่า สำนึกเรื่องสาธารณรัฐนิยมเพิ่มสูงสุดในประเทศไทยอย่างไม่เคยมีมาก่อน[285] สำหรับข้อเรียกร้องต่าง ๆ นั้น ทัดเทพมองว่าต่างมีความชัดเจนอยู่แล้ว และไม่จำเป็นต้องเจรจา[275] ผู้ประท้วงยืนยันว่าข้อเรียกร้องปฏิรูปสถาบันพระมหากษัตริย์ของพวกตนนั้น "ประนีประนอมที่สุดแล้ว"[286]

หลังการจับกุมผู้ประท้วงคนสำคัญในเดือนตุลาคม 2563 รองศาสตราจารย์ ยุทธพร อิสรชัย นักวิชาการรัฐศาสตร์ มองว่า เมื่อขาดแกนนำไปอาจทำให้ขบวนการอยู่นอกเหนือการควบคุมได้ และไม่สามารถริเริ่มทางยุทธศาสตร์ได้[287] ผู้ประท้วงยึดถือคติ "ทุกคนคือแกนนำ" หันไปนิยมสวมเครื่องแต่งกายสีดำเพื่อให้ปลอดภัยและลดความสะดุดตา มีการพกเสื้อกันฝนและร่มโดยส่วนหนึ่งเพื่อป้องกันสารเคมีที่ตำรวจอาจใช้ ผู้ประท้วงหันไปใช้การสื่อสารแบบเกมป้องปากและภาษามือเนื่องจากไม่สามารถใช้รถติดเครื่องขยายเสียง มีการใช้สื่อสังคมกระจายข่าวสาร กลุ่มแชตดังกล่าวยังเป็นที่สำหรับเลือกจัดการชุมนุมครั้งถัดไปด้วย ด้านขบวนการนักศึกษาย้ายไปใช้แอปพลิเคชันเทเลแกรม หลังมีข่าวว่าทางการเตรียมใช้อำนาจปิดหน้าเดิมด้วย[288] ในระยะหลัง ผู้ร่วมชุมนุมใช้ร่มต่างโล่ บ้างสวมหมวกกันน็อก แว่นตาและหน้ากากกันแก๊ส และมีการปรับใช้ยุทธวิธีสายน้ำแบบการประท้วงในฮ่องกง[289] หลังการสลายการชุมนุมในวันที่ 16 ตุลาคม แฮชแท็ก #WhatsHappeningInThailand (เกิดอะไรขึ้นในประเทศไทย) มีการใช้มากขึ้น โดยมีการเผยแพร่เป็นภาษาอังกฤษ จีน อินโดนีเซีย ญี่ปุ่นและเกาหลี ในแพลตฟอร์มสื่อสังคมหลายแห่ง เพื่อเรียกความสนใจของประชาคมโลกถึงสถานการณ์ในประเทศ[290]

การสาดสีเป็นวิธีการแสดงออกอย่างหนึ่งที่ผู้ประท้วงเลือกใช้ ซึ่งมีผู้ประท้วงแสดงความเห็นเป็นวิธีการแสดงออกแบบใหม่ ส่วนไชยอมร แก้ววิบูลย์พันธุ์ แสดงความเห็นถึงผู้ที่มองว่าไม่เหมาะสมไว้ว่า "มันคือสังคมดัดจริตเกินไป ในขณะที่ขีดเขียนถนนแล้วโดนวิพากษ์วิจารณ์ หรือใด ๆ ก็ตามที่ทำถนนเลอะเทอะ มองภาพใหญ่เรากำลังโดนกดขี่ และทำให้สังคมสกปรกมากกว่านั้นอีก การขีดเขียนพวกนี้เป็นเรื่องเล็กครับ"[291]

ผลของการประท้วงของกลุ่มรีเด็มซึ่งใช้ยุทธวิธีไร้แกนนำในวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2564 ทำให้ผู้ประท้วงหลายคนกลับมาทบทวนยุทธวิธีดังกล่าว แม้ว่ายุทธวิธีนี้ทำให้ผู้เข้าร่วมรู้สึกเสมอภาค แต่ผู้ประท้วงก็ไม่รู้จะฟังใคร ไม่มีวิธีลดระดับความรุนแรง อดีตนักเคลื่อนไหว นปช. คนหนึ่งให้ความเห็นว่า ยุทธวิธีแบบนี้ใช้ได้ผลดีหากเป็นการปักหลักชุมนุมอยู่กับที่ โดยมีกำหนดการต่าง ๆ ชัดเจน[233]

ฐิตินันท์ พงษ์สุทธิรักษ์ ศาสตราจารย์แห่งคณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ประเมินว่า ผู้ชุมนุมเริ่มมีจำนวนลดน้อยลงหลังผู้ชุมนุมคนสำคัญถูกจำคุก และเมื่อมีการแสดงสัญลักษณ์ค้อนเคียวในช่วงปลายปี 2563 และมองว่าเป้าหมายของกลุ่มเอื้อมไม่ถึงและใช้ยุทธวิธีที่ไม่ก่อให้เกิดผล[292]

การเงิน

การประท้วงในช่วงปี 2563 ส่วนใหญ่ได้รับการสนับสนุนทางการเงินผ่านการบริจาค[293][294] ซึ่งหลัก ๆ มาจากทราย เจริญปุระ นักแสดง[295][296] และจากแฟนคลับศิลปินเกาหลีในประเทศไทยที่ระดมทุนกัน[297][298] โดยเงินจากกลุ่มหลังนี้ ในวันที่ 18 ตุลาคม 2563 มียอดรวมกว่า 3.6 ล้านบาท[299] นอกจากนี้ยังมีการเดินถือกล่องเพื่อเรี่ยไรเงินบริจาค[300] ส่วนปกรณ์ พรชีวางกูร​ เปิดตัวเป็นผู้สนับสนุนด้านการเงินของผู้ประท้วงอีกคนหนึ่ง แต่แถลงว่าจะไม่ชี้แจงที่มาของเงินบริจาค เพราะเป็นเอกชนมาบริจาคให้เอง และการเปิดเผยชื่อจะนำมาซึ่งความไม่ปลอดภัย[198]

การประท้วงในช่วงปี 2564 ส่วนใหญ่ได้รับการสนับสนุนทางการเงินผ่านช่องทางของกลุ่มผู้ชุมนุมแต่ละกลุ่มทำขึ้น เช่น กลุ่มเดินทะลุฟ้า แนวร่วมธรรมศาสตร์และการชุมนุม เยาวชนปลดแอก กลุ่มฟื้นฟูประชาธิปไตย นักเรียนเลว เป็นต้น

มีความพยายามดำเนินคดีต่อผู้บริจาคดังกล่าว[301] และมีข้อกล่าวหาจากกลุ่มนิยมสถาบันพระมหากษัตริย์ว่า การประท้วงได้รับเงินสนับสนุนจากรัฐบาลสหรัฐ ซึ่งสถานทูตสหรัฐปฏิเสธ[302]

ใกล้เคียง

การประท้วงในประเทศไทย พ.ศ. 2563–2564 การปรับตัวเป็นสัตว์เลี้ยง การปรับอากาศรถยนต์ การประกวดความงาม การปรับตัว (ชีววิทยา) การประมาณราคา การประกวดโครงงานวิทยาศาสตร์และวิศวกรรมศาสตร์นานาชาติ การประเมินตัวเองหลัก (จิตวิทยา) การประกันภัย การประกวดเพลงยูโรวิชัน